พระวินัย ๒๒๗ ข้อ ของพระ เป็นกฎหมายหรือข้อห้ามของพระภิกษุสงฆ์เถรวาทตามพระวินัยบัญญัติ จัดอยู่ในส่วนอาทิพรหมจาริยกาสิกขา พระวินัย ๒๒๗ บทในพระปาฏิโมกข์ ที่พระพุทธเจ้าทรงวางข้อกำหนดไม่พึงละเมิดไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของคณะสงฆ์ และเพื่อเป็นข้อปฏิบัติพื้นฐานอันเอื้อเฟื้อต่อการประพฤติพรหมจรรย์ของพระภิกษุสงฆ์ มีโทษในการล่วงละเมิดร้ายแรงที่สุดถึงปาราชิก หรือขาดจากความเป็นพระสงฆ์
พระวินัย ๒๒๗ ไม่ใช่ศีลแต่เรียกว่า พระวินัย ผู้ทำผิดศีลเรียกว่า ล่วงพระวินัย เป็น อาบัติ ระดับชั้นต่าง ๆ ตามความหนักเบา สามารถแบ่งระดับอาบัติออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุด ในอาบัติระดับเบาจะต้องมีการเผยความผิด อาบัติระดับเบาเช่น ปาจิตตีย์ สามารถแก้ได้โดยกล่าวแสดงความผิดของตนกับพระภิกษุรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงถึงความสำนึกผิดและเพื่อจะตั้งใจประพฤติตนใหม่ หรือที่เรียกว่า การแสดงอาบัติ, ปลงอาบัติ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกย่อมขาดจากความเป็นพระ และไม่สามารถบวชเป็นพระสงฆ์ได้อีก ซึ่งพระวินัย ไม่ใช่ศีล แต่เป็นเสมือนกฎหมายของพระภิกษุ แต่หากจะกล่าวถึงศีลพระนั้น มีเพียง ๔๓ ข้อ คือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล จึงจะเป็นศีลพระที่แท้จริงตามพุทธบัญญัติ
อาบัติ
อาบัติ แปลว่า การตกไป (จากความดี) การต้องโทษทางพระวินัย เพราะกระทำผิดต่อพระพุทธบัญญัติ หรืออภิสมาจาร (ธรรมเนียมประเพณี) ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติห้ามมิให้ประพฤติ ผู้ฝ่าฝืนต้องมีโทษตามกำหนดไว้ลดหลั่นกันไปตามโทษหรืออาบัติ
อาบัติ มี ๗ อย่าง แบ่งเป็น ๒ ประเภทคือ
- ครุกาบัติ หมายถึงอาบัติหนัก อาบัติที่มีโทษร้ายแรง มี ๒ อย่างคือ อาบัติปาราชิก อาบัติสังฆาทิเสส
- ลหุกาบัติ หมายถึงอาบัติเบา อาบัติที่ไม่มีโทษร้ายแรงเท่าครุกาบัติ มี ๕ อย่าง คือ อาบัติถุลลัจจัย อาบัติปาจิตตีย์ อาบัติปาฏิเทสนียะ อาบัติทุกกฎ อาบัติทุพภาสิต
การลงโทษทางพระวินัยไม่มีความยุ่งยาก ไม่ต้องสอบสวนหาผู้กระทำความผิด อาศัยสำนึกผิดชอบชั่วดีของพระภิกษุซึ่งพึงมีเป็นพื้นฐาน ยกเว้นอาบัติปาราชิก และอาบัติสังฆาทิเสส
อาการอาบัติ
อาการที่ภิกษุจะกระทำอาบัติ มี ๖ อย่าง คือ
- กระทำโดยไม่ละอาย
- กระทำโดยไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอาบัติ
- กระทำโดยสงสัย แต่ยังขืนทำ
- กระทำโดยสำคัญว่าควร ในเรื่องที่ไม่ควร
- กระทำโดยสำคัญว่าไม่ควร ในเรื่องที่ควร
- กระทำโดยลืมสติ
ภิกษุที่ไม่ต้องอาบัติ
ภิกษุไม่ต้องอาบัติ แม้กระทำเรื่องนั้น มี ๕ พวก คือ
- ภิกษุผู้ไม่รู้ตัว หรือถูกบังคับ
- ภิกษุผู้เป็นบ้า
- ภิกษุผู้เป็นบ้าชั่วขณะ หรือด้วยฤทธิ์ยา
- ภิกษุผู้เจ็บทรมานหนัก จนไม่รู้ตัว
- ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ
ปาราชิก ๔
ปาราชิก คือประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภท ครุกาบัติที่เรียกว่า อาบัติปาราชิก
คำศัพท์ว่า ปาราชิกนั้น แปลว่า ยังผู้ต้องพ่าย หมายถึง ผู้ต้องพ่ายแพ้ในตัวเองที่ไม่สามารถปฏิบัติในพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้ได้
ปาราชิก มี ๔ ข้อ ได้แก่
- เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉาน (ร่วมสัมพันธ์ทางเพศกับมนุษย์ หรืออมนุษย์ หรือสัตว์ แม้แต่ซากศพก็ไม่ละเว้น)
- ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) ได้ราคา ๕ มาสก (๕ มาสกเท่ากับ ๑ บาท)
- พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) แสวงหาและใช้เครื่องมือกระทำเอง หรือจ้างวานฆ่าคน หรือพูดพรรณาคุณแห่งความตายให้คนนั้น ๆ ยินดีที่จะตาย (โดยมีเจตนาหวังให้ตาย) ไม่เว้นแม้แต่การแท้งเด็กในครรภ์
- กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริง อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวเองว่า เรารู้อย่างนี้ เราเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง) ยกเว้นเข้าใจตัวเองผิด
อาบัติปาราชิกทั้ง ๔ นี้เป็นอาบัติหนักที่เรียกว่า อเตกิจฉา คือแก้ไขไม่ได้เลย
โทษของอาบัติปาราชิก
พระภิกษุต้องอาบัติปาราชิกสี่ข้อใดข้อหนึ่ง แม้จะไม่กล่าวลาสิกขาบท ก็ถือว่าขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที เมื่อความผิดสำเร็จ เมื่อขาดจากความเป็นพระแล้ว ก็ถือว่าไม่ใช่พระภิกษุอีกต่อไป ไม่สามารถอยู่ร่วมกับภิกษุอื่นหรือคณะหมู่สงฆ์ได้เลย ต้องลาสิกขาบทออกจากเป็นพระภิกษุทันที มิฉะนั้นจะกลายเป็นพวกอลัชชี (แปลว่า ผู้ไม่ละอาย) นอกจากนั้นจะไม่สามารถกลับเข้ามาบวชใหม่ได้เลยตลอดชีวิต แม้จะบวชเข้ามาได้ก็ไม่ใช่พระภิกษุที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย และไม่อาจเจริญในพระธรรมวินัยจนไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานใด ๆ เลยตลอดชีวิต (เพียงชาติที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น) เพราะเป็นมูลเฉทคือ ตัดรากเหง้า เปรียบเสมือนคนถูกตัดศีรษะ เป็นตาลยอดด้วน แต่ว่าไม่ห้ามขึ้นสวรรค์ซึ่งแตกต่างกับอนันตริยกรรมที่ห้ามทั้งสวรรค์และนิพพานเพราะอาบัติปาราชิกนั้นมีไว้สำหรับเพศบรรชิต ถ้าพระภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นสำนึกผิดและลาสิกขาบทออกจากเป็นพระภิกษุแล้วทำบุญกุศลแล้วตายไปก็จะสามารถขึ้นสวรรค์ได้ แต่ถ้ายังดื้อด้านไม่ยอมลาสิกขาบทและครองอยู่ในผ้าเหลืองจนตาย ตายไปต้องตกนรกที่ลึกที่สุดคือ มหาขุมนรกอเวจี
อกรณียกิจ ๔
นอกจากอาบัติปาราชิกทั้ง ๔ ที่มีอยุ่ในพระวินัยนี้แล้ว ยังมีคำสอนต้องห้ามสำหรับพระภิกษุที่เหมือนกับอาบัติปาราชิกซึ่งก็คือ อกรณียกิจ ๔ คือกิจที่สมณะไม่ควรทำซึ่งอยู่ในส่วนของคำสอนอนุศาสน์ ๘ ประการ ภิกษุผู้เป็นอุปัชฌาย์จะต้องมีหน้าที่บอกอกรณียกิจ ๔ ประการแก่กุลบุตรผุ้ที่กำลังจะเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุใหม่ทันที เพราะมันล่อแหลมทำให้ต้องอาบัติง่ายๆจนขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที และนอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่คอยระลึกเตือนใจภิกษุเก่าผู้บวชมาก่อนว่าสิ่งนั้นทั้งสี่ข้อไม่ควรทำ
สังฆาทิเสส ๑๓
สังฆาทิเสสคือประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภท ครุกาบัติที่เรียกว่า อาบัติสังฆาทิเสส จัดเป็นอาบัติโทษรุนแรง (ครุกาบัติ) รองจากปาราชิก มีทั้งหมด ๑๓ ประการดังนี้
- ทำน้ำอสุจิเคลื่อน
- แตะต้องสัมผัสกายสตรี
- พูดเกี้ยวพาราสีสตรี
- พูดจาให้สตรีบำเรอกามให้
- ทำตัวเป็นพ่อสื่อ
- สร้างกุฏิด้วยการขอ
- มีเจ้าภาพสร้างกุฏิให้แต่ไม่ให้สงฆ์แสดงที่ก่อน
- ใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
- แกล้งสมมติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
- ทำสงฆ์แตกแยก (สังฆเภท)
- เข้าข้างภิกษุที่ทำสงฆ์แตกแยก
- ภิกษุทำตนเป็นคนหัวดื้อ
- ประจบสอพลอคฤหัสถ์
คำว่าสังฆาทิเสสแปลว่าอาบัติที่ต้องอาศัยสงฆ์ในกรรมเบื้องต้นและกรรมที่เหลือ กล่าวคือเมื่อภิกษุต้องอาบัติดังกล่าวแล้ว ต้องแจ้งแก่สงฆ์ ๔ รูปเพื่อขอประพฤติวัตรที่ชื่อมานัต เมื่อสงฆ์อนุญาตแล้วจึงประพฤติวัตรดังกล่าวเป็นเวลา ๖ คืน เมื่อพ้นแล้วจึงขอให้สงฆ์ ๒๐ รูปทำสังฆกรรมสวดอัพภานให้ เมื่อพระสงฆ์สวดอัพภานเสร็จสิ้น ถือว่าภิกษุรูปนั้นพ้นจากอาบัติข้อนี้
ในกรณีที่ภิกษุต้องอาบัติข้อนี้แล้วปกปิดไว้ เมื่อมาแจ้งแก่หมู่สงฆ์แล้ว ต้องอยู่ปริวาสกรรมเท่ากับจำนวนวันที่ปกปิดไว้ก่อน เช่น ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้หนึ่งเดือน เมื่อแจ้งแก่สงฆ์แล้วต้องอยู่ปริวาสหนึ่งเดือน แล้วจึงขอประพฤติวัตรมานัตต่อไป
อนิยต ๒
อนิยต คือประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภทกึ่งกลางระหว่างครุกาบัติหรือลหุกาบัติที่เรียกว่า อาบัติอนิยต ซึ่งอาบัตินี้ขึ้นอยู่กับว่าพระวินัยธรจะวินิจฉัยว่าควรจะให้ปรับอาบัติแบบไหนตามแต่จะได้โทษหนักหรือเบาอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีทั้งหมด ๒ ประการดังนี้
- นั่งในที่ลับตากับสตรีสองต่อสอง
- นั่งในที่ลับหูกับสตรีสองต่อสอง
คำว่า อนิยต แปลว่า อาบัติที่ไม่แน่นอนว่าจะให้ปรับเป็นอาบัติปาราชิก, สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์ กล่าวคือเมื่อมีผู้พบเห็นหรือได้ยินว่าพระภิกษุอยู่กับสตรีด้วยกันสองต่อสองโดยที่ไม่มีบุคคลที่สาม(ชายผู้ที่รู้เดียงสา)อยู่ด้วย จึงได้ไปรายงานต่อพระวินัยธรให้ได้รับทราบ จากนั้นพระวินัยก็จะทำการไต่สวนกับพระภิกษุผู้ถูกกล่าวหา หากพระภิกษุนั้นยอมรับสารภาพว่าได้กระทำใดๆอย่างใดอย่างหนึ่งกับสตรีที่อยู่ด้วยกันตามที่โจกท์คฤหัสถ์ได้กล่าวหา ทางพระวินัยธรก็จะทำการวินิจฉัยว่าควรจะให้ปรับอาบัติแบบไหนตามแต่หนักหรือเบาตามทางของพระวินัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น
- ถ้าพระภิกษุยอมรับว่าเสพเมถุนกับสตรี จึงให้ปรับอาบัติเป็นปาราชิก
- ถ้าพระภิกษุยอมรับว่าแตะต้องหรือพูดจาเกี้ยวพาราณาสีกับสตรี จึงให้ปรับอาบัติเป็นสังฆาทิเสส
- ถ้าพระภิกษุไม่ได้กระทำใดๆกับสตรี แต่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง จึงให้ปรับอาบัติเป็นปาจิตตีย์
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐
นิสสัคคิยปาจิตตีย์คือประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภท ลหุกาบัติที่เรียกว่า อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ จัดเป็นอาบัติโทษเบา มีทั้งหมด ๓๐ ประการดังนี้
จีวรวรรค ๑๐
- ๑. เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
- ๒. อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว
- ๓. เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน
- ๔. ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า
- ๕. รับจีวรจากมือของภิกษุณี
- ๖. ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย
- ๗. รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
- ๘. พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม
- ๙. พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย
- ๑๐. ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง
โกสิยวรรค ๑๐
- ๑๑. หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม
- ๑๒. หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน
- ๑๓. ใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง
- ๑๔. หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง ๖ ปี
- ๑๕. เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย
- ๑๖. นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้
- ๑๗. ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม
- ๑๘. รับเงินทองที่ได้จากการถวายของคฤหัสถ์
- ๑๙. ซื้อ-ขายด้วยเงินทอง
- ๒๐. ซื้อขายโดยใช้ของแลก
ปัตตวรรค ๑๐
- ๒๑. เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
- ๒๒. ขอบาตรเมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง
- ๒๓. เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย) ไว้เกิน ๗ วัน
- ๒๔. แสวงหาและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน
- ๒๕. ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วแต่กลับชิงคืนในภายหลัง
- ๒๖. ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
- ๒๗. กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
- ๒๘. เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด
- ๒๙. อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน
- ๓๐. น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน
คำว่า สัคคิยปาจิตตีย์ แปลว่า อาบัติประเภทที่พระภิกษุผู้กระทำผิดโดยการรับหรือได้ของอย่างหนึ่งมา จะต้องทำการสละของนั้นก่อนจึงจะแสดงอาบัติได้ กล่าวคือเมื่อพระภิกษุได้ทำการครองครอบสิ่งของจตุปัจจัย เช่น เงินทอง จีวร บาตร เป็นต้นอย่างมากเกินความจำเป็นจึงถือว่ามีโทษอาบัติ การจะปลงอาบัติสัคคิยปาจิตตีย์ได้นั้นจะต้องทำการสละสิ่งของที่มีอยู่ แล้วทำการปลงอาบัติได้
ปาจิตตีย์ ๙๒
อาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ
มุสาวาทวรรค ๑๐
- ๑. ห้ามพูดปด
- ๒. ห้ามด่า
- ๓. ห้ามพูดส่อเสียด
- ๔. ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน
- ๕. ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน (ผู้ไม่ใช้ภิกษุ ได้แก่ สามเณร แม่ชี ฆราวาส) เกิน ๓ คืน
- ๖. ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง
- ๗. ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง
- ๘. ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช
- ๙. ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช
- ๑๐. ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด
ภูตคามวรรค ๑๐
- ๑๑. ห้ามทำลายต้นไม้
- ๑๒. ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน
- ๑๓. ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ
- ๑๔. ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง
- ๑๕. ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ
- ๑๖. ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน
- ๑๗. ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์
- ๑๘. ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน
- ๑๙. ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น
- ๒๐. ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน
โอวาทวรรค ๑๐
- ๒๑. ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย
- ๒๒. ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว
- ๒๓. ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่
- ๒๔. ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ
- ๒๕. ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
- ๒๖. ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
- ๒๗. ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี
- ๒๘. ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน
- ๒๙. ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย
- ๓๐. ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี
โภชนวรรค ๑๐
- ๓๑. ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ
- ๓๒. ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม
- ๓๓. ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น
- ๓๔. ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร
- ๓๕. ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว
- ๓๖. ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด
- ๓๗. ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
- ๓๘. ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
- ๓๙. ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง
- ๔๐. ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน
อเจลกรรค ๑๐
- ๔๑. ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ
- ๔๒. ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ
- ๔๓. ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน
- ๔๔. ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)
- ๔๕. ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม
- ๔๖. ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา
- ๔๗. ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
- ๔๘. ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
- ๔๙. ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน
- ๕๐. ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
สุราปานวรรค ๑๐
- ๕๑. ห้ามดื่มสุราเมรัย
- ๕๒. ห้ามจี้ภิกษุ
- ๕๓. ห้ามว่ายน้ำเล่น
- ๕๔. ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
- ๕๕. ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
- ๕๖. ห้ามติดไฟเพื่อผิง
- ๕๗. ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ
- ๕๘. ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
- ๕๙. วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
- ๖๐. ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
สัปปาณกวรรค ๑๐
- ๖๑. ห้ามฆ่าสัตว์
- ๖๒. ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
- ๖๓. ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์(คดีความ-ข้อโต้เถียง)ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
- ๖๔. ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
- ๖๕. ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี
- ๖๖. ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
- ๖๗. ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน
- ๖๘. ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
- ๖๙. ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
- ๗๐. ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
สหธัมมิกวรรค ๑๒
- ๗๑. ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
- ๗๒. ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
- ๗๓. ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
- ๗๔. ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
- ๗๕. ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
- ๗๖. ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
- ๗๗. ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
- ๗๘. ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
- ๗๙. ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
- ๘๐. ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
- ๘๑. ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
- ๘๒. ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
รัตนวรรค ๑๐
- ๘๓. ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา
- ๘๔. ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
- ๘๕. เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
- ๘๖. ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
- ๘๗. ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
- ๘๘. ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
- ๘๙. ห้ามทำผ้าปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ
- ๙๐. ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
- ๙๑. ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ
- ๙๒. ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ
ปาฏิเทสนียะ ๔
ปาฏิเทสนียะคือประเภทหนึ่งของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภท ลหุกาบัติที่เรียกว่า อาบัติปาฏิเทสนียะ จัดเป็นอาบัติโทษเบา มีทั้งหมด ๔ ประการดังนี้
- ห้ามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน
- ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
- ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
- ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า
คำว่า ปาฏิเทสนียะ แปลว่า ที่พึงแสดงคืน
เสขิยวัตร ๗๕
เสขิยวัตร เป็นส่วนหนึ่งของวินัยบัญญัติของภิกษุ (ศีล ๒๒๗ ข้อ) กล่าวคือ วัตรที่ภิกษุจะต้องศึกษา จัดเป็น ๔ หมวด ได้แก่
สารูป ๒๖
ว่าด้วยความเหมาะสมแก่สมณเพศในการประพฤติปฏิบัติต่อชุมชน มี ๒๖ ข้อ
- นุ่งให้เป็นปริมณฑล (ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
- ห่มให้เป็นปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)
- ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน
- ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน
- สำรวมด้วยดีไปในบ้าน
- สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน
- มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)
- มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน
- ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน
- ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน
- ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน
- ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน
- ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน
- ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
- ไม่โคลงกายไปในบ้าน
- ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
- ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
- ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
- ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
- ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
- ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
- ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
- เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
- ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
- ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
- ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน
โภชนปฏิสังยุตต์ ๓๐
ว่าด้วยการฉันอาหาร มี ๓๐ ข้อ
- รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ
- จะแลดูแต่ในบาตร
- รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)
- รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร
- ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ
- ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร
- ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)
- ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป
- ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป
- ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก
- ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้
- ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ
- ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป
- ทำคำข้าวให้กลมกล่อม
- ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง
- ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
- ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
- ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
- ไม่ฉันกัดคำข้าว
- ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
- ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
- ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
- ไม่ฉันแลบลิ้น
- ไม่ฉันดังจับๆ
- ไม่ฉันดังซูดๆ
- ไม่ฉันเลียมือ
- ไม่ฉันเลียบาตร
- ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
- ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
- ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน
ธัมมเทสนาปฏิสังยุต ๑๖
ว่าด้วยการแสดงธรรม มี ๑๖ ข้อ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้)
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
- ภิกษุเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
- ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง
ปกิณณกะ ๓
เป็นหมวดเบ็ดเตล็ด มี ๓ ข้อ
- ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
- ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
- ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ
ตัวอย่างที่พบได้ทั่วไป เช่น ภิกษุจะไม่ยืนถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ, ภิกษุจะไม่ยืนดื่มน้ำ เป็นต้น
อธิกรณสมถะ ๗
อธิกรณสมถะ การทำอธิกรณ์ให้สงบระงับ หมายถึง วิธีระงับอธิกรณ์ตามพระธรรมวินัย ๗ อย่าง คือ
- สัมมุขาวินัย ตัดสินในที่พร้อมหน้าทั้ง โจทย์และจำเลยพร้อมพยาน ตามพยานหลักฐาน
- สติวินัย ถือสติเป็นหลัก การยกเลิกความผิดเพราะเป็นพระอรหันต์หรืออริยบุคคลที่จะไม่ทำผิดวินัยในข้อนั้นได้
- อมูฬหวินัย ผู้หายจากเป็นบ้า การเลิกความผิดเพราะผู้กระทำผิดนั้นวิกลจริตหรือเป็นบ้า
- ปฏิญญาตกรณะ ทำตามที่รับ การตัดสินตามการยอมรับผิด คำสารภาพของผู้กระทำผิด
- ตัสสปาปิยสิกา ลงโทษแก่ผู้ผิดที่ไม่รับ การลงโทษพยานผู้ที่ไม่ยอมพูดในการสอบสวนของคณะสงฆ์
- เยภุยยสิกา การตัดสินตามมติเสียงข้างมาก
- ติณวัตถารกะ ดุจกลบไว้ด้วยหญ้า วิธีประณีประนอม การตัดสินยกฟ้อง เลิกแล้วต่อกัน(ในกรณีทะเลาะกัน)
ฟ้อนท์สวยดีครับ ไม่ทราบว่าเพจนี้ใช้ฟ้อนท์อะไรหรอครับ
สวัสดีครับคุณนฤป เชาวลิต ขอบพระคุณมากครับ. เว็บไซต์พุทธะใช้ฟ้อนต์อัตลักษณ์สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา (PGVIM) ของผู้ช่วยศาสตราจารย์อาวิน อินทรังษี (facebook.com/arwinemon) เป็นฟ้อนต์หัวเรื่อง และฟ้อนต์ CM Prasanmit ของชมรมการจัดพิมพ์อิเล็กทรอนิกไทย (TEPC) สำหรับข้อความทั่วไปครับ.