ก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ท่านได้ตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึง พร้อมเถิด เมื่อเราอายุแก่แล้วไม่สามารถจะเอากลับคืนไปเป็นหนุ่มได้ เมื่อเราตายแล้ว ไม่สามารถที่จะกลับคืนได้
ร่างกายที่เราทุกคนยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนของเรานี้ มันไม่ใช่ของเรานะ ร่างกาย ก็ส่วนหนึ่ง ใจก็ส่วนหนึ่งนะ มันคนละอย่างกันนะ
ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรานะ ให้เราแยกใจของเรา ออกจากรูปนะ แยกใจออกจากเวทนา แยกใจออกจากสัญญา แยกใจออกจากสังขาร แยกใจ ออกจากวิญญาณตัวรับรู้ ขันธ์ทั้งห้านั้นมันคนละอย่างกับใจของเรานะ เราต้องแยกใจของเรา ออก ใจของเราถึงจะเกิดปัญญา
อาหารของใจนั้นนะ ได้แก่การให้ทาน การรักษาศีล ภาวนา
ทานนั้นเป็นพื้นเป็นฐานที่รองรับให้ใจสบาย
ศีลนั้นเป็นพื้นเป็นฐานรองรับให้เกิดสัมมาสมาธิ
สัมมาสมาธิเป็นพื้นเป็นฐานรองรับให้เกิดปัญญา
ปัญญาเป็นพื้นเป็นฐานรองรับให้เกิดธรรมะ
ธรรมะเป็นพื้นเป็นฐานให้เกิดวิมุติความหลุดพ้น
ความประมาท ความเพลิดเพลิน เป็นสาเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้า ท่านถึงตรัสโอวาทไว้ในครั้งสุดท้ายว่า ไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท
เราทุก ๆ คนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถือว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐ เรามาพากันเอาร่างกายนี้ มาประพฤติมาปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ร่างกายของเราเราก็ดูแลรักษาอย่างดี ใจของเรา ก็รักษาอย่างดี รักษาทั้งกายทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน ให้ทั้งอาหารกายอาหารใจไปพร้อม ๆ กัน
โอวาทขององค์หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตามอบให้ ณ วันเสาร์ที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๑ งานสวดมาติกาประชุมเพลิงหลวงพ่อลาย ณ เมรุวัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม