พุทธศาสนิกชนทั้งหลายอาจเคยตั้งคำถามในข้อนี้กันอยู่บ้าง เพราะเราอาจเคยเห็นการถวายกาแฟแด่พระสงฆ์ที่รับกิจนิมนต์ในงานบุญทั้งหลายจนชินตา แต่สำหรับบางคนอาจเคยไปปฏิบัติธรรมที่วัดบางแห่งกลับมีข้อห้ามเรื่องการดื่มกาแฟเพราะถือว่าไม่ใช่ “น้ำปานะ” รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์บนสื่อออนไลน์เรื่องการซื้อกาแฟในร้านดังของพระสงฆ์ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่? ผิดวินัยสงฆ์เหรือเปล่า? อย่างที่เคยเป็นข่าวเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันสักนิดว่า “ปานะ” หมายถึง เครื่องดื่มที่คั้นมาจากผลไม้ ซึ่งตามพระวินัยแล้ว พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ ๘ ชนิด เรียกว่า “น้ำอัฏฐบาน” อันได้แก่ น้ำมะม่วง, น้ำชมพู่หรือน้ำหว้า, น้ำกล้วยมีเมล็ด, น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด, น้ำมะซางต้องเจือด้วยน้ำจึงจะควร, น้ำลูกจันทน์หรือองุ่น, น้ำเหง้าบัว และน้ำมะปรางหรือลิ้นจี่ ซึ่งน่าจะเทียบเคียงได้กับน้ำผลไม้ที่มีอยู่โดยทั่วไปในปัจุบัน ดังนั้นกาแฟจึงไม่จัดว่าเป็นน้ำปานะแต่อย่างใด แต่จัดเป็นอาหารประเภทหนึ่งซึ่งในพระวินัยปิฎกก็จะมีข้อกำหนดไว้ว่าหลังเที่ยงวันไปแล้ว หรือที่เรียกว่า “เวลาวิกาล” พุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นนักบวช ดื่มหรือฉันได้บางสิ่งเท่านั้น คือ ดื่มน้ำเปล่าได้ ดื่มน้ำปานะได้ ดื่มเภสัชได้เมื่อมีเหตุอันสมควร ส่วนอาหารทั้งหลายจะดื่มหรือฉันไม่ได้ ถือเป็น “อาบัติปาจิตตีย์” (ดู พระวินัย ๒๒๗ ข้อ) หมายถึง การละเมิดอันยังกุศลให้ตก
ถึงแม้ว่าอาจจะมีบางข้อคิดเห็นที่บอกว่ากาแฟจัดเป็น “ยาวกาลิก” ถือเป็นอาหาร ซึ่งเมื่อพระสงฆ์รับประเคนแล้วฉันได้แค่ก่อนเที่ยง หรือบ้างก็คิดเห็นว่ากาแฟจัดเป็น “ยาวชีวิก” คือใช้ประกอบเป็นยา รับประเคนแล้วฉันได้เช่นกัน รวมถึงในปัจจุบันกาแฟมีส่วนผสมที่หลากหลาย เช่น ครีมเทียม จึงนับว่าเป็นยากแก่การตัดสินให้ชัดเจนว่าจะผิดหลักวินัยหรือไม่ เพราะต้องพิจารณาลงรายละเอียดปลีกย่อยลงไปอีก แต่ข้อปฏิบัติที่ง่ายที่สุดสำหรับเราซึ่งเป็นฆราวาส ผู้เขียนคิดเห็นว่าเมื่อเราเข้าใจแล้วว่ากาแฟไม่จัดเป็นน้ำปานะ หากเป็นไปได้ก็ควรเลี่ยงการถวายกาแฟในการทำบุญถวายอาหารแด่พระสงฆ์ก็น่าจะเป็นความสบายใจในเบื้องต้นด้วยกันทุกฝ่าย
ขอบคุณข้อมูล : dhammahome.com l manager.co.th l doisaengdham.org