ความรู้เรื่อง ศีล ๕ รักษาศีล ๕ แล้วได้อะไร
เรื่องของศีลข้อที่ ๑ คือเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการเบียดเบียนชีวิตซึ่งกันและกัน เนื่องจากชีวิตเป็นสิ่งที่ทุกคนรัก ทุกคนหวงแหน แม้สัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน รักชีวิต หวงชีวิต กลัวชีวิตจะต้องตาย ทุกๆ ชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลาย ต่างดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ชีวิตของตนอยู่รอด แคล้วคลาดปลอดภัยอยู่ดีมีสุข พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติศีลข้อที่ ๑ ด้วยเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายรักชีวิตของตนเป็นอันดับ ๑
ศีลข้อที่ ๑ ปาณาติปาตาเวรมณี
เว้นจาการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่า..ถ้าไม่เว้นย่อมยังสัตว์ให้ไปเกิดในนรก ในสัตว์เดรัจฉานในเปรตวิสัย
และเมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกจะได้รับผล ๙ ประการ คือ
- เป็นคนทุพพลภาพ
- เป็นคนรูปไม่งาม
- มีกำลังกายอ่อนแอ
- เป็นคนเฉื่อยชา
- เป็นคนขี้ขลาด
- เป็นคนผู้อื่นฆ่า, และฆ่าตัวเอง
- โรคภัยเบียดเบียน
- ความพินาศของบริการ
- อายุสั้นและให้ผลติดต่อกันหลายชาติ
รักษาศีลข้อที่ ๑ แล้วได้อะไร
- ได้รับผลปฏิสนธิกาล คือได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา เรียกว่า กามสุคติภูมิ
- ได้รับผลในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดแล้ว เช่น หลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้รับผลอีก ๒๓ ประการ
อานิสงส์แห่งการรักษาศีลข้อที่ ๑ มี ๒๓ ประการ
- สมบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่
- มีร่างกายสมทรง
- สมบูรณ์ด้วยกำลังกาย
- มีเท้างามประดิษฐานลงด้วยดี
- เป็นผู้มีผิวพรรณสดใส
- มีรูปโฉมงามสะอาด
- เป็นผู้อ่อนโยน
- เป็นผู้มีความสุข
- เป็นผู้แกล้วกล้า
- เป็นผู้มีกำลังมาก
- มีถ้อยคำสละสลวยเพราะพริ้ง
- มีบริษัทรักใคร่ไม่แตกแยกจากตน
- เป็นคนไม่สะดุ้งตกใจกลัวต่อภัยเวร
- ข้าศึกศัตรูทำร้ายไม่ได้
- ไม่ตายด้วยความเพียรฆ่าของผู้อื่น
- มีบริวารหาที่สุดมิได้
- มีรูปร่างสวยงาม
- มีทรวดทรงสมส่วน
- มีความเจ็บไข้น้อย
- ไม่มีเรื่องเสียใจเศร้าโศก
- เป็นที่รักของชาวโลก
- ไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รักและชอบใจ
- มีอายุยืน
ศีลข้อที่ ๒ อทินนาทาเวรมณี
เว้นจากลักทรัพย์ด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นลัก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อทินนาทาน อันบุคคลเสพแล้วเจริญแล้วกระทำให้มากแล้วย่อมยังสัตว์ให้ไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานในเปรตวิสัย วิบากแห่งอทินนาทานอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความพินาศแห่งโภคะให้เป็นไปแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์มีสมบัติก็ต้องพินาศ
เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกจะได้รับผล ๖ ประการ
- เป็นคนด้อยทรัพย์
- เป็นคนจากจน
- เป็นคนอดอยาก
- ไม่ได้สมบัติที่ตนต้องการ
- ต้องพินาศในการค้า
- ทรัพย์พินาศเพราะภัยต่างๆ เช่น อัคคีภัย อุทกกภัย วาตภัย ราชภัย โจรภัย เป็นต้น
รักษาศีลข้อที่ ๒ แล้วได้อะไร
- ได้รับผลในปฏิสนธิกาล คือได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา เรียกว่า กามสุคติภูมิ
- ได้รับผลในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะได้รับผลอีก ๑๑ ประการ
อานิสงส์ของการรักษาศีลข้อที่ ๒ มี ๑๑ ประการ
- จะเป็นผู้มีทรัพย์มาก
- มีข้าวของและอาหารมาก
- หาโภคทรัพย์ได้ไม่สิ้นสุด
- โภคทรัพย์ที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น
- โภคทรัพย์ที่ได้ไว้แล้วก็ยั่งยืนถาวร
- หาสิ่งที่ปรารถนาได้รวดเร็ว
- สมบัติไม่กระจายด้วยภัยต่างๆ
- หาทรัพย์ได้โดยไม่ถูกแบ่งแยก
- ได้โลตุตตรทรัพย์คือนิพพาน
- อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
- ไม่รู้ไม่เคยได้ยินคำว่าไม่มี
ศีลข้อที่ ๓ กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณี
เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ถ้าไม่เว้นจะเกิดอะไรขึ้น..พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคลเสพแล้ว เจริญให้มากแล้วย่อมยังสัตว์ให้ตกนรกในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานในเปรตวิสัย
ทำกามเมสุมิจฉาจาร แล้วได้อะไร
ทำแล้วหากเกิดเป็นมนุษย์อีกได้รับผล ๑๑ ประการคือ
- มีผู้เกลียดชังมาก
- มีผู้ปองร้ายมาก
- ขัดสนทรัพย์
- ยากจนอดอยาก
- เป็นหญิง
- เป็นกระเทย
- เป็นชายในตระกูลต่ำ
- ได้รับความอับอายเป็นอาจิณ
- ร่างกายไม่สมประกอบ
- มากไปด้วยความวิตกห่วงใย
- พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก
ผลทั้ง ๑๑ ประการนี้เป็นเศษของกรรมกาเมสุมิจฉาจาร ให้ผลหลังจากไปตกนรกไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน หรือจากไปเกิดเป็นเปรตมาแล้ว เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้รับผลจากกาเมสุมิจฉาจารในปวัตติกาลดังกล่าว
รักษาศีลข้อที่ ๓ แล้วได้อะไร
การละเว้นจากการประพฤติผลในกามเสียได้ จะได้รับผล ๒ ขึ้นคือ
- ได้รับผลในปฏิสนธิกาล คือเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา เรียกว่าได้ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ
- ได้รับผลในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดแล้วเช่นถ้าเกิดเป็นมนุษย์ จะได้รับผลอีก ๒๐ ประการ
อานิสงศ์ของการรักษาศีลข้อที่ ๓ มี ๒๐ ประการ
- ไม่มีข้าศึกสัตรู
- เป็นที่รักของคนทั่วไป
- นอนเป็นสุข
- ตื่นก็เป็นสุข
- พ้นภัยในอบายภูมิ
- ไม่อาภัพไม่เกิดเป็นหญิงหรือกระเทย
- ไม่โกรธง่าย
- ทำอะไรก็ได้โดยเรียบร้อย
- ทำอะไรเปิดเผยแจ่มแจ้ง
- มีความสง่า คอไม่ตก
- หน้าไม่ก้ม มีอำนาจ
- มีแต่เพื่อนรักทั้งบุรุษ และสตรี
- มีอินทรีย์ ๕ บริบูรณ์
- มีลักษณะบริบูรณ์
- ไม่มีใครรังเกียจ
- ขวนขวายน้อยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก
- อยู่ทีไหนก็เป็นสุข
- ไม่ต้องกลัวภัยจากใครๆ
- ไม่ค่อยพลัดพรากจากของที่รัก
- หาข้าว, น้ำ , ที่อยู่, เครื่องนุ่งห่มได้ง่าย
ศีลข้อที่ ๔ คือให้เว้นจากการพูดเท็จ
พูดไม่เป็นความจริง พูดโกหกหรือพูดมุสา ถ้าไม่เว้นจากมุสาวาทหรือพูดเท็จอะไรจะเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า มุสาวาทอันบุคคลเสพแล้วเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรกในกำเนินดิรัจฉานในเปรตวิสัย ผลจากการกล่าวมุสาวาทอย่างเบาที่สุดย่อมยังการแตกจากมิตรให้เป็นไปแก่ผู้ เกิดเป็นมนุษย์
การกล่าวมุสาวาทแล้วจะได้อะไร การกล่าวมุสาวาทหรือการพูดเท็จปราศจากความจริง เมื่อกล่าวออกไปแล้วจะได้รับผล ๒ ขั้นคือ
- ได้รับผลในปฏิสนธิกาล คือเกิดในนรกดิรัจฉาน, เปรตวิสัย
- ได้รับผลในปวัตติกาล คือหลังจากเกิดแล้ว และผลที่จะได้รับในปวัตติกาลนี้ จะครบองค์มุสาวาทหรือไม่ก็ตาม
ถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์จะได้รับผลอีก ๘ ประการคือ
- พูดไม่ชัด
- ฟันไม่เป็นระเบียบ
- ปากเหม็นมาก
- ไอตัวร้อนจัด
- ตาไม่อยู่ในระดับปกติ
- กล่าววาจาด้วยปลายลิ้นและปลายปาก
- ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย
- จิตไม่เที่ยงคล้ายคนวิกลจริต
อานิสงส์แห่งการรักษาศีลข้อ ๔ มี ๑๔ ประการ
- มีอินทรีย์ทั้ง ๕ ผ่องใส
- มีวาจาไพเพราะอ่อนหวาน
- มีฟันเสมอชิด สะอาด
- ไม่อ้วนจนเกินไป
- ไม่ผอมจนเกินไป
- ไม่สูงจนเกินไป
- ไม่เตี้ยจนเกินไป
- กลิ่นปากหอมเหมือนดอกบัว
- ได้สัมผัสแต่ที่เป็นสุข
- มีบริวารล้วนขยันขันแข็ง
- มีถ้อยคำที่บุคคลเชื่อถือได้
- ลิ้นบางแดง อ่อนเหมือนกลีบดอกบัว
- ใจไม่ฟุ้งซ่าน
- ไม่เป็นอ่าง ไม่เป็นใบ้
ศีลข้อที่ ๕ คือเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย
รวมถึงเครื่องดองของเมา ยาเสพติดให้โทษทุกชนิด โทษของการดื่มสุรา ทำให้เกิดความประมาทปราศจากการเคารพบิดา มารดา พี่น้อง น้า อา แม้อุปัชฌาย์อาจารย์และสมณะพราหมณ์ ผู้มีศีลก็ไม่เคารพศีลาจารวัตรในการปฏิบัติกายวาจาใจให้บริสุทธิ์ จะทำแต่การบาปหยาบช้า มีกายหยาบ วาจาหยาบ ใจหยาบ ทำแต่อกุศลเป็นนิตย์ไม่คิดสงสารสัตว์ นอกจากนี้ โทษของการดื่มสุราเมรัยยังพาให้ตกในอบาย นายนิรยบาลจะกรอกด้วยน้ำทองแดง น้ำถึงปากแลคอก็จะทำลายใส้พุงจาดกระจายตาย ตายแล้วก็จะกลับฟื้นขึ้นมา เสวยทุกขเวทยาต่อๆ กันไป เมื่อพ้นจากอบายแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ จะเป็นคนใบ้ เสียจริตผิดจากมนุษย์ทั้งหลาย จะเป็นคนใบ้ บ้า เสียจริต ผิดจากมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นภัยของชีวิตที่น่ากลัว ศีลข้อที่ ๕ สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการดื่มสุราเมรัย ของมึนเมา สิ่งเสพติดให้โทษ
ถ้าไม่เว้นอะไรจะเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า: การดื่มน้ำเมา คือสุรา และเมรัย อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ยังสัตว์ให้เป็นไปในนรกในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย ผลแห่งการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยอย่างเบาที่สุดย่อมยังความเป็นบ้าให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็น มนุษย์
ถ้าผิดศีลข้อที่ ๕ จะได้อะไร การดื่มสุรา เมรัย หรือสิ่งเสพติดให้โทษจะได้รับผล ๒ ขึ้น คือ
- ได้รับผลในปฏิสนธิกาล, เกิดในนรก, ดิรัจฉาน, เปรตวิสัย
- ได้รับผลในปวัตติกาล คือหลังจากเกิดแล้วและผลที่จะได้รับในปวัตติกาลนี้จะครบองค์หรือไม่ก็ตามถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์
จะได้รับผลจากการดื่มสุรา ๖ ประการ คือ
- ทรัพย์ถูกทำลาย
- เกิดวิวาทบาทหมาง
- เป็นบ่อเกิดแห่งโรค
- เสื่อมเกียรติ
- หมดยางอาย
- ปัญญาเสื่อมถอยหรือพิการทางปัญญา
รักษาศีลข้อ ๕ จะได้อะไร ถ้าเว้นจากการดื่มสุรา เมรัย หรือเว้นจากสิ่งเสพติดให้โทษจะได้ผลดี ๒ ประการ
- ได้รับผลดีในปฏิสนธิกาล คือจะเกิดในกามสุคติภูมิ มีมนุษย์หรือสวรรค์เป็นที่เกิด
- ได้รับผลในปวัตติกาล คือหลังจากเกิดแล้ว
ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์จะได้รับอานิสงส์จากเว้นดื่มน้ำเมา ๓๕ ประการคือ
อานิสงศ์แห่งการรักษาศีลข้อที่ ๕ มี ๓๕ ประการ
- รู้กิจการ อดีต อนาคต ปัจจุบันได้รวดเร็ว
- มีสติตั้งมั่นทุกเมื่อ
- มีปัญญาดี มีความรู้มาก
- มีแต่ความสุข
- มีแต่คนนับถือยำเกรง
- มีความขวนขวายน้อยหากินง่าย
- มีปัญญามาก
- มีปัญญาบันเทิงในธรรม
- มีความเห็นถูกต้อง
- มีศีลบริสุทธิ์
- มีใจละอายแก่บาป
- รู้จักกลัวบาป
- เป็นบัณฑิต
- มีความกตัญญู
- มีกตเวที
- พูดแต่ความสัตย์
- รู้จักเฉลี่ยเจือจาน
- ซื่อตรง
- ไม่เป็นบ้า
- ไม่เป็นใบ้
- ไม่มัวเมา
- ไม่ประมาท
- ไม่หลงไหล
- ไม่หวาดสะดุ้งกลัว
- ไม่บ้าน้ำลาย
- ไม่งุนงง ไม่เซ่อเซอะ
- ไม่มีความแข่งดี
- ไม่มีใครริษยา
- ไม่ส่อเสียดใคร
- ไม่พูดหยาบ
- ไม่พูดเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์
- ไม่เกียจคร้านทุกคืนวัน
- ไม่ตระหนี่
- ไม่โกรธง่าย
- ฉลาดรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และในสิ่งที่เป็นโทษ
อานิสงส์ของความถึงพร้อมด้วยศีล ๕
ดูก่อนคฤหบดีทั้งหลาย อานิสงส์ของความถึงพร้อมด้วยศีลมี ๕ ประการ คือ
- ย่อมประสบซึ่งกองแห่งโภคะใหญ่ คือความไม่ประมาทอันเป็นคุณอย่างยิ่ง
- ย่อมมีชื่อเสียงดีงามฟุ้งขจรไป
- เข้าไปในบริษัทใดก็ตามย่อมเป็นผู้แกล้วกล้าไม่เก้อเขิน
- ผู้มีศีลสมบูรณ์ด้วยศีลย่อมเป็นผู้ไม่หลง ไม่หลงตาย
- เบื้องหน้าเมื่อการแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ดูก่อนอานนท์ ศีลทั้งหลายเป็นกุศล มีความไม่เดือดร้อนเป็นประโยชน์ มีความไม่เดือดร้อนเป็นอานิสงส์
- ย่อมประสบซึ่งกองแห่งโภคะใหญ่ คือความไม่ประมาท อันเป็นคุณอย่างยิ่ง
- ย่อมมีชื่อเสียงดีงามฟุ้งขจรไป
- เข้าไปในบริษัทใดก็ตามย่อมเป็นผู้แกล้วกล้าไม่เก้อเขิน
- ผู้มีศีลสมบูรณ์ด้วยศีลย่อมเป็นผู้ไม่หลวง ไม่หลงตาย
- เบื้องหน้าเมื่อการแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดูก่อนอานนท์ ศีลทั้งหลายเป็นกุศล มีความไม่เดือดร้อนเป็นประโยชน์ มีความไม่เดือดร้อนเป็นอานิสงส์
อานิสงส์การสมาทานศีล ๕ ข้อ มี ๑๐๓ ประการ
- ศีลข้อที่ ๑ มีอานิสงส์ ๒๓ ประการ
- ศีลข้อที่ ๒ มีอานิสงส์ ๓๑ ประการ
- ศีลข้อที่ ๓ มีอานิสงส์ ๒๐ ประการ
- ศีลข้อที่ ๔ มีอานิสงส์ ๑๔ ประการ
- ศีลข้อที่ ๕ มีอานิสงส์ ๓๕ ประการ
- รวม ๑๐๓ ประการ
ผู้สมาทานศีล ๕ ละโลกนี้ไปแล้ว มีทางไปสู่สวรรค์ ๖ ภูมิ แต่ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ทำบุญให้ทานบ้างแต่ไม่มีศีล ๕ รองรับ จะตกสู่จตุราบาย, ตกสู่อบายภูมิ, (ทุคติภูมิ)
กามสุคติภูมิแบ่งออกเป็น ๗ ภูมิ ได้แก่ มนุษย์ภูมิ ๑ เทวภูมิ ๖ คือ
เทวภูมิหรือสุคติภูมิ
- ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ
- นิมมานนรดีภูมิ
- ดุสิตภูมิ
- ยามาภูมิ
- ดาวดึงสาภูมิ
- จาตุมาหาราชิกาภูมิ
มนุษย์โลกภูมิ จตุราบายหรือทุคติภูมิ
- เดียรัจฉาน
- เปรต
- อสุรกาย
- สัตว์นรก
ค้าขายร่ำรวย ร้อยล้าน รับมรดก มีที่ดินร้อยล้าน รับราชการมีทรัพย์สินร้อยล้าน เป็น ร.ม.ต. เป็น ส.ส. มีเงินร้อยล้าน เหล่านี้ไม่มีศีล ๕ รองรับ ไม่สมาทานศีล ๕ ปิดประตูสวรรค์ เปิดประตูนรก ตกสู่อบายภูมิ สัตว์นรก, อสุรกาย, เปรต, สัตว์เดียรัจฉาน ประพฤติศีล ๕ ข้อ ทำบุญใส่บาตรผู้มีศีล ประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ ละโลกนี้ไปแล้วจติจิตไปปฏิสนธิในโลกสวรรค์ ทันที ผู้สมาทานศีล ๕ ศีล ๘ ทุกวัน ปิดประตูนรก เปิดประตูสวรรค์ มีโอกาสไปอุบัติใน สุคติภูมิหรือเทวภูมิ ๖ ชั้นนั้น จะไปอุบัติในเทวโลกภูมิใดนั้นแล้วแต่กำลังบุญกุศลทำไว้ในโลกมนุษย์ ผู้ปราศจากกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ คือพระอริยบุคคล
ทำอะไรด้วยสติปัญญา เป็นบุญเป็นกุศล
ทำอะไรขาดสติปัญญา เป็นบาปเป็นอกุศลฯ
การ ลด ละ เลิก จากโลภะ โทสะ โมหะได้ เป็นสิ่งประเสริฐสุด