ด้วยความอาลัยรักในพระพุทธองค์ พระอานนท์เถระได้ไปยืนเหนี่ยวประตูวิหารร้องไห้คิดสังเวชตัวเองว่าสู้อุตส่าห์ติดตามปฏิบัติพระผู้มีพระภาคประดุจเงาติดตามพระองค์มาด้วยความเคารพรัก บัดนี้ถึงแก่การดับขันธปรินิพพานแล้ว ตนยังมิได้บรรลุอรหัตผลเหมือนพระเถระอื่น ๆ ครั้นพระพุทธองค์มิได้เห็นพระอานนท์จึงเรียกให้เข้ามาและตรัสปลอบว่า
“ดูก่อนอานนท์ ! เธออย่างโศกเศร้า อย่าร่ำไรเลย เราได้บอกแก่เธอแล้วมิใช่หรือว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงถาวร จะหาความเที่ยงแท้จากสังขารได้แต่ที่ไหน
ดูก่อนอานนท์ ! ทุกสิ่งที่มีเกิดในเบื้องต้นแล้ว จะต้องแปรปรวนในท่ามกลาง และดับสลายลงเช่นเดียวกัน”
ต่อจากนั้นได้ตรัสพยากรณ์ว่า หลังจากพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ขอให้อุตส่าห์บำเพ็ญเพียร ในไม่ช้าจะได้ถึงความสิ้นอาสวะ คือสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก่อนวันพระสงฆ์ทำปฐมสังคายนา ทั้งยังได้ตรัสสรรเสริญพระอานนท์เถระว่าเป็น เอตทัคคะ คือ เป็นเลิศในการบำเพ็ญพุทธอุปัฏฐาก เช่นเดียวกับพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ที่เคยมาตรัสรู้ในโลกแล้ว หรือที่กำลังจะมาตรัสรู้ในกาลอนาคตย่อมมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับพระอานนท์เถระด้วยเป็นผู้ประกอบกิจธุระด้วยปัญญาอันรอบรู้ ว่าการใดควรให้ผู้ใดเข้าเฝ้า ไม่ว่าจะเป็น ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา กษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี และเดียรถีย์ ทั้งเป็นผู้แสดงธรรมได้อย่างน่าชื่นชม ผู้ฟังมิบังเกิดความเบื่อหรืออิ่มในธรรม ใคร่จะได้ฟังซ้ำและมีความยินดีเบิกบานในธรรมเมื่อจบการแสดงธรรม
นอกจากนั้นยังได้รับการยกย่องในด้านเป็นผู้มีสติ มีคติ มีธิติ คือความทรงจำพุทธวจนะ คือพระธรรมคำสั่งสอน และการรับใช้ศาสนา หลังจากพุทธปรินิพพาน พระสงฆ์ได้ทำปฐมสังคายนาและร้อยกรองพระธรรมวินัยคำสอนที่เป็นพระสูตรทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ในพระไตรปิฏกตั้งแต่เล่ม ๙ ถึงเล่ม ๓๓ รวม ๔๔ เล่ม ล้วนเป็นผลแห่งความจำอันเป็นเลิศของพระอานนท์ทั้งสิ้น