ตรัสรู้

หมอชีวกโกมารภัจจ์ และนางสิริมา

หมอชีวกโกมารภัจจ์

หมอชีวกโกมารภัจจ์ และ นางสิริมา เป็นบุตรของนางสาลวดี หญิงนครโสเภณีประจำเมืองราชคฤห์ แห่งแคว้น มคธ ในสมัยโบราณหญิงนครโสเภณีเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ ทรงแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์เหมือนตำแหน่งเศรษฐีประจำเมือง เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น เมื่อนางสาลวดีตั้งครรภ์โดยบังเอิญ ทารกที่เป็นชายจะถูกนำไปทิ้งนอกเมือง ถ้าเป็นหญิงจะเลี้ยงไว้เพื่อให้สืบทอดอาชีพหญิงโสเภณี

บุตรคนแรกของนางสาลวดีเป็นชาย เมื่อนางให้สาวใช้นำไปทิ้งไว้ที่นอกเมือง บังเอิญพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารพระองค์หนึ่งนามว่า อภัยราชกุมาร ได้มาพบเห็นจึงนำไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรมและตั้งชื่อให้ตามคำกราบทูลมหาดเล็กว่า “ชีวก ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนคำว่า “โกมารภัจจ์ แปลว่า กุมารที่ได้รับการเลี้ยงดู หรือกุมารในราชสำนัก” อันหมายถึง “บุตรบุญธรรม” นั่นเอง ส่วนน้องสาวของชีวกโกมารภัจจ์ คือ นางสิริมา

ชีวกโกมารภัจจ์มักถูกล้อเลียนจากเพื่อน ๆ ว่าเป็นลูกไม่มีพ่อจึงหนีไปเรียนวิชาการแพทย์อยู่กับอาจารย์ที่เมืองตักกศิลาเป็นเวลา ๗ ปี โดยอาสาปรนนิบัติรับใช้เนื่องจากไม่มีเงินค่าเล่าเรียน จนเป็นที่รักใคร่จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาการแพทย์ให้ทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง  เมื่ออาจารย์ทดสอบโดยให้ชีวกโกมารภัจจ์ไปสำรวจต้นไม้ในป่าว่าต้นไหนที่สามารถใช้เป็นตัวยาได้ ชีวกโกมารภัจจ์หาไม่พบเพราะต้นไม้ทุกต้นนำมาประกอบเป็นยาได้ทั้งสิ้น อาจารย์จึงบอกว่าได้เรียนรู้จบหลักสูตรแล้วให้กลับสู่บ้านเมืองเพื่นนำวิชาความรู้ช่วยเหลือคนเจ็บป่วยทุกข์ยาก

เมื่อกลับสู่เมืองราชคฤห์หมอชีวกโกมารภัจจ์ได้รักษาพระอาการประชวรด้วยพระโรค “ภคันทลาพาธ” หรือโรคริดสีดวงทวาร ของพระเจ้าพิมพิสารจนหายขาดจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหมอหลวงพร้อมพระราชทานสวนมะม่วงให้  ต่อมาสวนมะม่วงแห่งนี้หมอชีวกได้ถวายเป็นวัดที่ประทับของพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ในภายหลังเมื่อพระเจ้าพิมพิสารสวรรคตเพราะถูกพระเจ้าอชาตศัตรูพระราชบุตรองค์หนึ่งชิงราชบัลลังก์ตามคำยุยงของพระเทวทัต  หมอชีวก ก็ได้ทำหน้าที่เป็นแพทย์หลวงประจำพระองค์ และเป็นผู้ชักนำพระเจ้าอชาตศัตรูให้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรมจนเกิดความศรัทธาในพระรัตนตรัย

กำเนิดชีวกโกมารภัจจ์

ครั้นนางกุมารีสาลวดี(สาสวดี)ได้รับเลือกเป็นหญิงงามเมืองแล้ว ไม่ช้านานเท่าไรนัก ก็ได้เป็นผู้ชำนาญในการฟ้อนรำ ขับร้องบรรเลงเครื่องดนตรี มีคนที่มีความประสงค์ต้องการตัวไปร่วมอภิรมย์ ราคาตัวคืนละ ๑๐๐ กษาปณ์ ครั้นมิช้ามินาน นางสาลวดีหญิงงามเมืองก็ตั้งครรภ์.

นางมีความคิดเห็นว่า ธรรมดาสตรีมีครรภ์ไม่เป็นที่พอใจของพวกบุรุษ ถ้าใคร ๆ ทราบว่า เรามีครรภ์ ลาภผลของเราจักเสื่อมหมด ถ้ากระไร เราควรแจ้งให้เขาทราบว่าเป็นไข้ ต่อมานางได้สั่งคนเฝ้าประตูไว้ว่า

“นายประตูจ๋า โปรดอย่าให้ชายใดๆ เข้ามา และผู้ใดถามหาดิฉัน จงบอกให้เขาทราบว่า เป็นไข้นะ !”

คนเฝ้าประตูนั้นรับคำนางสาลวดีหญิงงามเมืองว่า “จะปฏิบัติตามคำสั่งเช่นนั้น”

หลังจากนั้น อาศัยความแก่แห่งครรภ์นั้น นางได้คลอดบุตรเป็นชาย และสั่งกำชับทาสีว่า “แม่สาวใช้จงวางทารกนี้ลงบนกระด้งเก่าๆ แล้วนำออกไปทิ้งที่กองหยากเยื่อ(กองขยะ)”

ทาสีนั้นรับคำนาง แล้ววางทารกนั้นลงบนกระด้งเก่า ๆ นำออกไปทิ้งไว้ ณ กองหยากเยื่อ(กองขยะ).

ในเวลาเช้าวันนั้น เจ้าชายอภัย กำลังเสด็จเข้าสู่พระราชวัง ได้ทอดพระเนตรเห็นทารกนั้นอันฝูงกาห้อมล้อมอยู่ จึงได้ตรัสถามมหาดเล็กว่า

“พนายนั่นอะไร ฝูงการุมกันตอม”

มหาดเล็ก. “ทารก พ่ะย่ะค่ะ “

เจ้าชายอภัย “ยังเป็นอยู่หรือ พนาย“

มหาดเล็ก “ยังเป็นอยู่ พ่ะย่ะค่ะ“

เจ้าชายอภัย “พนาย.. ถ้าเช่นนั้น จงนำทารกนั้นไปที่วังของเรา ให้นางนมเลี้ยงไว้“

คนเหล่านั้นรับสนองพระบัญชาว่า “อย่างนั้น พ่ะย่ะค่ะ“

แล้วนำทารกนั้นไปวังเจ้าชายอภัย มอบแก่นางนมว่า “โปรดเลี้ยงไว้ด้วย“ อาศัยคำว่า “ยังเป็นอยู่” เขาจึงขนานนามทารกนั้นว่า ชีวก (ยังมีชีวิตอยู่)

ชีวกนั้น อันเจ้าชายรับสั่งให้เลี้ยงไว้ เขาจึงได้ตั้งนามสกุลว่าโกมารภัจจ์ ต่อมาไม่นานนัก ชีวกโกมารภัจจ์ก็รู้เดียงสา จึงเข้าเฝ้าเจ้าชายอภัย ครั้นแล้วได้ทูลคำนี้แด่เจ้าชายอภัยว่า

“ใครเป็นมารดาของเกล้ากระหม่อม ใครเป็นบิดาของเกล้ากระหม่อม พ่ะย่ะค่ะ“

เจ้าชายรับสั่งว่า “พ่อชีวก แม้ถึงตัวเราก็ไม่รู้จักมารดาของเจ้า ก็แต่ว่าเราเป็นบิดาของเจ้า เพราะเราได้ให้เลี้ยงเจ้าไว้“

จึงชีวกโกมารภัจจ์มีความคิดเห็นว่าราชสกุลเหล่านี้คือ ราชสกุลของพระเจ้าแผ่นดิน หากคนที่ไม่มีศิลปะจะเข้าพึ่งพระบารมี ทำไม่ได้ง่าย ถ้ากระไรเราควรเรียนวิชาแพทย์ไว้. เพราะเป็นวิชาที่อาศัยเมตตา กรุณา เพื่อสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นความคิดตามความคำนึงของกุศลกรรม

หนีไปเรียนวิชาทางการแพทย์
หนีไปเรียนวิชาทางการแพทย์

ชีวกโกมารภัจจ์พออายุได้ ๑๖ ปี ทราบว่านายแพทย์ทิศาปาโมกข์ตั้งสำนักอยู่ ณ เมืองตักกสิลา ชีวกโกมารภัจจ์ ไม่ทูลลาเจ้าชายอภัย ลอบเดินทางไปเมืองตักกสิลากับเหล่าพ่อค้าชาวตักกสิลา ครั้นถึงเมืองตักกสิลาแล้วเข้าไปขอมอบตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์

ซึ่งในอรรถกถาว่า อาจารย์ทิศาปาโมกข์ถามว่า “พ่อเป็นใครกัน?” ตอบว่า “กระผมเป็นนัดดาของมหาราชพิมพิสาร เป็นบุตรของท่านอภัยราชกุมาร มาเพื่อศึกษาศิลปแพทย์”  ท่านว่าซึ่งศิษย์คนอื่น ๆ ที่เป็นบุตรหลานของพระราชาแว่นแคว้นต่าง ๆ ล้วนให้ทรัพย์แก่อาจารย์แล้วขอเรียนเป็นศิษย์ แล้วไม่ต้องทำการงานอะไรให้อาจารย์นอกจากเรียนอย่างเดียว แต่ชีวกไม่ได้มีทรัพย์ให้แก่อาจารย์ เป็นศิษย์ที่ทำการงานให้อาจารย์แลกกับวิชาความรู้ ต้องทำงานเวลาหนึ่ง เรียนเวลาหนึ่ง แม้ว่าต้องทำงาน แต่ชีวกก็สมบูรณ์ด้วยอภินิหาร เป็นผู้มีปัญญมาก

ครั้งนั้นชีวกโกมารภัจจ์ เรียนวิชาได้มาก เรียนได้เร็ว เข้าใจดีด้วย และวิชาที่เรียนได้แล้วก็ไม่ลืม ในอรรถกถาว่า คนส่วนมากต้องใช้เวลาเรียน ๑๖ ปี แต่ชีวกใช้เวลาเรียนแค่ ๗ ปี ครั้นล่วงมาได้ ๗ ปี ชีวกโกมารภัจจ์คิดว่า

“ตัวเราเรียนวิชาได้มาก เรียนได้เร็ว เข้าใจดีด้วย ทั้งวิชาที่เรียนได้ก็ไม่ลืม และเราเรียนมาได้ ๗ ปีแล้ว ยังไม่สำเร็จศิลปะนี้ เมื่อไร จักสำเร็จสักที“

จึงเข้าไปหาอาจารย์ผู้นั้นแล้วได้เรียนถามว่า

ท่านอาจารย์ กระผมเรียนวิชาได้มากเรียนได้เร็ว เข้าใจดีด้วย ทั้งวิชาที่เรียนได้แล้วก็ไม่ลืม และกระผมได้เรียนมาเป็นเวลา ๗ ปีก็ยังไม่สำเร็จ เมื่อไรจักสำเร็จสักทีเล่า ขอรับ“

อาจารย์ตอบว่า “พ่อชีวก ถ้าเช่นนั้นเธอจงถือเสียมเที่ยวไปรอบเมืองตักกสิลา ในระยะทาง ๑ โยชน์ ตรวจดูสิ่งใดไม่ใช่ตัวยา จงขุดสิ่งนั้นมา“

ชีวกโกมารภัจจ์รับคำอาจารย์แล้ว ถือเสียมเดินไปรอบเมืองตักกสิลาระยะทาง ๑ โยชน์ มิได้เห็นสิ่งใดที่ไม่เป็นตัวยาสักอย่างหนึ่งจึงเดินทางกลับ เข้าไปหาอาจารย์และได้กราบเรียนคำนี้ว่า

ท่านอาจารย์ กระผมเดินไปรอบเมืองตักกสิลาระยะทาง ๑ โยชน์แล้ว มิได้เห็นสิ่งที่ไม่เป็นยาสักอย่างหนึ่ง“

อาจารย์บอกว่า “พ่อชีวก เธอศึกษาสำเร็จแล้ว เท่านี้ก็พอที่เธอจะครองชีพได้แล้ว“

แล้วได้ให้เสบียงเดินทางเล็กน้อยแก่ชีวกโกมารภัจจ์ ด้วยอาจารย์คิดว่าชีวกเป็นบุตรราชสกุล เรียนจบไปแล้วกลับไปถึงเมืองจักได้ลาภสักการะใหญ่จากราชสกุล เขาจะไม่รู้คุณค่าของศิลปะ และไม่รู้คุณของอาจารย์ แต่หากเขาหมดเสบียง เขาจะใช้ศิลปะที่เรียนมาหาเสบียงเดินทาง เขาก็จะรู้คุณของอาจารย์  ชีวกโกมารภัจจ์ถือเสบียงเล็กน้อยนั้นแล้ว ได้เดินทางมุ่งไปพระนครราชคฤห์ ครั้นเดินทางไปเสบียงเพียงเล็กน้อยนั้นได้หมดลงที่เมืองสาเกต ในระหว่างทาง จึงเกิดความปริวิตกว่าหนทางเหล่านี้แลกันดารอัตคัดน้ำ อัตคัดอาหาร คนไม่มีเสบียงจะเดินไป ทำไม่ได้ง่าย จำเราจะต้องหาเสบียง.

เริ่มต้นรักษาเพื่อหาเสบียงเป็นค่าตอบแทน

ซึ่งในเวลานั้น ภรรยาเศรษฐีที่เมืองสาเกต เป็นโรคปวดศีรษะอยู่ ๗ ปี นายแพทย์ทิศาปาโมกข์ใหญ่ ๆ หลายคนมารักษา ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ทำให้สูญเสียเงินไปเป็นอันมาก ขณะนั้น ชีวกโกมารภัจจ์เข้าไปสู่เมืองสาเกต ถามคนทั้งหลายว่า

พ่อนาย ท่านจงไปกราบเรียนภรรยาเศรษฐีว่า คุณนายขอรับ หมอมาแล้ว เขามีความประสงค์จะเยี่ยมคุณนาย“

คนเฝ้าประตูรับคำชีวกโกมารภัจ ดังนั้นแล้วจึงได้เข้าไปหาภรรยาเศรษฐี แล้วได้กราบเรียนว่า

คุณนายขอรับ หมอมาแล้ว เขามีความประสงค์จะเยี่ยม“

ภรรยาเศรษฐีถามว่า “พ่อนายเฝ้าประตูจ๋า หมอเป็นคนเช่นไร“

พนาย. “เป็นหมอหนุ่มๆ ขอรับ“

ภรรยาเศรษฐี “ไม่ละ พ่อนายเฝ้าประตู หมอหนุ่ม ๆ จักทำอะไรแก่ฉันได้ นายแพทย์ทิศาปาโมกข์ใหญ่ ๆ หลายคนมารักษา ก็ไม่สามารถรักษาให้หาย ได้ขนเงินไปเป็นอันมาก“

นายประตูนั้น จึงเดินออกมาหาชีวกโกมารภัจจ์ แล้วได้เรียนว่า

ท่านอาจารย์ ภรรยาเศรษฐีพูดอย่างนี้ว่า ไม่ละ พ่อนายเฝ้าประตู หมอหนุ่ม ๆ จักทำอะไรแก่ฉันได้ นายแพทย์ทิศาปาโมกข์ใหญ่ๆ หลายคนมารักษา ก็ไม่สามารถรักษาให้หาย ได้ขนเงินไปเป็นอันมาก“

ชีวกโกมารภัจจ์ “พ่อนายเฝ้าประตู ท่านจงไปกราบเรียนภรรยาเศรษฐีว่า คุณนายขอรับ คุณหมอสั่งมาอย่างนี้ว่า ขอคุณนายอย่าเพิ่งให้อะไร ๆ ต่อเมื่อหายโรคแล้ว คุณนายประสงค์จะให้สิ่งใด จึงค่อยให้สิ่งนั้นเถิด“

นายประตูรับคำชีวกโกมารภัจจ์แล้วเข้าไปหาภรรยาเศรษฐี ได้กราบเรียนว่า “คุณนายขอรับ คุณหมอบอกข่าวมาอย่างนี้ว่า ขอคุณนายอย่าเพิ่งให้อะไร ๆ ก่อน ต่อเมื่อคุณนายหายโรคแล้ว ประสงค์จะให้สิ่งใด จึงค่อยให้สิ่งนั้นเถิด”

ภรรยาเศรษฐีสั่งว่า “พ่อนายประตู ถ้าเช่นนั้นเชิญคุณหมอมา” นายประตูรับคำภรรยาเศรษฐีแล้วเข้าไปหาชีวกโกมารภัจจ์ แล้วได้แจ้งให้ทราบว่า ท่านอาจารย์ ภรรยาเศรษฐีขอเชิญท่านเข้าไป.

เริ่มรักษาภรรยาเศรษฐี

หมอชีวกโกมารภัจจ์เข้าไปหาภรรยาเศรษฐี ครั้นแล้วตรวจดูอาการป่วยของภรรยาเศรษฐี แล้วได้กล่าวขอเนยใสหนึ่งซองมือ” ครั้นภรรยาเศรษฐีสั่งให้หาเนยใสหนึ่งซองมือมาให้แก่ชีวกแล้ว ชีวกโกมารภัจจ์จึงหุงเนยใสหนึ่งซองมือนั้น กับยาต่าง ๆ ให้ภรรยาเศรษฐีนอนหงายบนเตียง แล้วให้นัตถุ์ ขณะนั้นเนยใสที่ให้นัตถุ์นั้นได้พุ่งออกจากปาก จึงภรรยาเศรษฐีถ่มเนยใสนั้นลงในกระโถน สั่งทาสีว่า “แม่สาวใช้จงเอา สำลีซับเนยใสนี้ไว้”

ชีวกโกมารภัจจ์คิดว่า ภรรยาเศรษฐีคนนี้ช่างสกปรก เนยใสนี้จำเป็นจะต้องทิ้ง ยังใช้ให้ทาสีเอาสำลีซับไว้ ส่วนยาของเรามีราคาแพงมากกว่า กลับปล่อยให้เสีย แม่บ้านคนนี้จักให้ขวัญข้าวอะไรแก่เราบ้าง”

ขณะนั้นภรรยาเศรษฐีสังเกตรู้อาการอันแปลกของชีวกโกมารภัจจ์ แล้วได้ถามคำนี้แก่ชีวกโกมารภัจจ์ว่า

“อาจารย์ท่านแปลกใจอะไรหรือ?“

ชีวกโกมารภัจจ์ “เวลานี้ผมกำลังคิดอยู่ว่า แปลกจริงแม่บ้านคนนี้ช่างสกปรกเหลือเกิน เนยใสนี้ จำเป็นจะต้องทิ้ง ยังใช้ให้ทาสีเอาสำลีซับไว้ ส่วนยาของเรามีราคาแพงมากกว่าปล่อยให้เสียแม่บ้านคนนี้จักให้ขวัญข้าวอะไรแก่เราบ้าง

ภรรยา. “อาจารย์ พวกดิฉันชื่อว่าเป็นคนมีเหย้าเรือน จำเป็นจะต้องรู้จักสิ่งที่ควรสงวน เนยใสนี้ยังดีอยู่จะใช้เป็นยาสำหรับทาเท้าพวกทาสหรือกรรมกรก็ได้ ใช้เป็นน้ำมันเติมตะเกียงก็ได้ อาจารย์ท่านอย่าได้คิดวิตกไปเลย ค่าขวัญข้าวของท่านจักไม่ลดน้อย”

คราวนั้นชีวกโกมารภัจจ์ได้กำจัดโรคปวดศีรษะของภรรยาเศรษฐี ซึ่งเป็นมา ๗ ปีให้หาย โดยวิธีนัตถุ์ยาคราวเดียวเท่านั้น

ครั้นภรรยาเศรษฐีหายโรคแล้ว ได้ให้รางวัลชีวกโกมารภัจจ์เป็นเงิน ๔,๐๐๐ กหาปณะ บุตรเศรษฐีได้ทราบว่ามารดาของเราหายโรคแล้ว ได้ให้รางวัลเพิ่มอีก ๔,๐๐๐ กหาปณะ บุตรสะใภ้ได้ทราบว่า แม่ผัวของเราหายโรคแล้ว ก็ได้ให้รางวัล ๔,๐๐๐ กหาปณะ เศรษฐีคหบดีทราบว่าภรรยาของตนหายโรคแล้วได้เพิ่มรางวัลให้อีก ๔,๐๐๐ กหาปณะ และให้ทาสทาสี รถม้าอีกด้วย ชีวกโกมารภัจจ์รับเงิน ๑๖,๐๐๐ กหาปณะ กับทาส ทาสี และรถม้าเดินทางมุ่งไปพระนครราชคฤห์

ถึงพระนครราชคฤห์แล้ว ได้เข้าเฝ้าเจ้าชายอภัยแล้วได้กราบทูลว่าเงิน ๑๖,๐๐๐ กหาปณะ กับทาส ทาสี และรถม้านี้เป็นการกระทำครั้งแรกของเกล้ากระหม่อม ขอใต้ฝ่าพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดรับค่าเลี้ยงดูเกล้ากระหม่อมเถิด พระเจ้าข้า

พระราชกุมารอภัยปฏิเสธการรับเงินและสิ่งของเหล่านั้น พร้อมรับสั่งว่าให้สร้างบ้านอยู่ในวังของพระองค์

ถวายการรักษาพระเจ้าพิมพิสาร

สมัยนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาธราชทรงประชวรโรคริดสีดวงงอก พระภูษาเปื้อนพระโลหิต พวกพระสนมเห็นแล้วพากันเย้ยหยันว่า “บัดนี้พระเจ้าอยู่หัวทรงมีระดู ต่อมาพระโลหิตบังเกิดแก่พระองค์แล้ว ไม่นานเท่าไรนัก พระองค์จักประสูติ” พระราชาทรงเก้อเพราะคำเย้ยหยันของพวกพระสนมนั้น ซึ่งท้าวเธอได้ตรัสเล่าความนั้นแก่เจ้าชายอภัยว่า

“พ่ออภัย พ่อป่วยเป็นโรคเช่นนั้นถึงกับภูษาเปื้อนโลหิต พวกพระสนมเห็นแล้ว พากันเย้ยหยันว่า บัดนี้พระเจ้าอยู่หัวทรงมีระดู ต่อมพระโลหิตบังเกิดแก่พระองค์แล้ว ไม่นานเท่าไรนัก พระองค์จักประสูติ เจ้าช่วยหาหมอชนิดที่พอจะรักษาพ่อได้ให้ทีเถิด”

เจ้าชายอภัยเสนอให้หมอชีวกผู้เป็นหมอประจำตัวรักษาให้  หมอขีวกโกมารภัจจ์ได้รับคำสั่งของเจ้าชายอภัยแล้ว เอาเล็บตักยาเดินไปในราชสำนัก ครั้นถึงแล้วเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารขออนุญาตตรวจพระอาการ แล้วทายาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น พระโรคก็หายสนิทเป็นปกติ

ครั้นพระเจ้าพิมพิสาร ทรงหายประชวรจึงรับสั่งให้สตรี ๕๐๐ นางตกแต่งเครื่องประดับทั้งปวง ให้เปลื้องออกใส่ห่อไว้ทั้งหมด ได้มีพระราชโองการแก่ชีวกโกมารภัจจ์ว่าเครื่องประดับทั้งปวงของสตรี ๕๐๐ นางนี้จงเป็นของเจ้า”

ชีวกโกมารภัจจ์ปฏิเสธไม่รับ ทูลว่าขอพระองค์จงทรงโปรดระลึกว่าเป็นหน้าที่ของข้าพระพุทธเจ้าเถิด  พระเจ้าพิมพิสารจึงตรัสว่า

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงบำรุงเรากับพวกฝ่ายใน และภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข”

ชีวกโกมารภัจจ์ทูลรับสนองพระบรมราชโองการ

อรรถกถาธิบายว่า พระเจ้าพิมพิสารลองใจหมอชีวก ดำริว่า หากหมอชีวกรับเครื่องประดับก็จะตั้งไว้ในตำแหน่งตามสมควร แต่หากไม่รับก็จะตั้งเขาให้เป็นคนสนิทภายในวัง พระอภัยราชกุมารก็ดี นางระบำทั้งหลายก็ดี ต่างคิดกันว่า ชีวกไม่ควรจะรับ หมอชีวกก็รู้ความคิดของท่านเหล่านั้น จึงกราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ นี้เป็นเครื่องประดับของอัยยิกา(ปู่) ของหม่อมฉัน เครื่องประดับเหล่านี้ไม่สมควรที่หม่อมฉันจะรับไว้”

ความประพฤติเหล่านี้ทำให้พระเจ้าพิมพสารทรงเลื่อมใสหมอชีวก ได้พระราชทานเรือนพร้อมด้วยเครื่องประดับ ทั้งสวนอัมพวันและหมู่บ้านสำหรับใช้เก็บส่วย ๑ แสนต่อปี (วินย.อ.๕/๒/๓๒๓-๔)

รักษาเศรษฐีชาวพระนครราชคฤห์

สมัยนั้น เศรษฐีชาวพระนครราชคฤห์ป่วยเป็นโรคปวดศีรษะอยู่ ๗ ปีนายแพทย์ทิศาปาโมกข์ใหญ่ ๆ หลายคนมารักษา ก็ไม่สามารถรักษาให้หาย ขนเงินไปเป็นอันมาก

อนึ่ง เศรษฐีนั้นถูกนายแพทย์บอกคืน นายแพทย์บางพวกได้ทำนายไว้อย่างนี้ว่า เศรษฐีคหบดี จักถึงอนิจกรรมในวันที่ ๕ บางพวกทำนายไว้อย่างนี้ว่า จักถึงอนิจกรรมในวันที่ ๗.

ครั้งนั้น พวกคนร่ำรวย ชาวพระนครราชคฤห์ได้มีความปริวิตกว่า เศรษฐีคหบดีผู้นี้ มีอุปการะมากแก่พระเจ้าอยู่หัวและชาวนิคม แต่ท่านถูกนายแพทย์บอกคืนเสียแล้ว นายแพทย์บางพวกทำนายไว้อย่างนี้ว่า เศรษฐีคหบดีจักถึงอนิจกรรมในวันที่ ๕ บางพวกทำนายไว้อย่างนี้ว่า จักถึงอนิจกรรมในวันที่ ๗ ก็ชีวกผู้นี้เป็นนายแพทย์หลวงที่หนุ่มทรงคุณวุฒิ ถ้าเช่นนั้นพวกเราพึงทูลขอนายแพทย์ชีวกต่อพระเจ้าอยู่หัว เพื่อจะให้รักษาเศรษฐีคหบดี แล้วจึงพากันไปในราชสำนัก.

ครั้นถึงแล้วได้เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลแด่พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชว่า

“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม เศรษฐีคหบดีผู้นี้มีอุปการะมาก แก่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทและชาวนิคม แต่ท่านถูกนายแพทย์บอกคืนเสียแล้ว นายแพทย์บางพวกทำนายไว้ อย่างนี้ว่า เศรษฐีคหบดี จักถึงอนิจกรรมในวันที่ ๕ บางพวกทำนายไว้อย่างนี้ว่า จักถึงอนิจกรรมในวันที่ ๗ ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงมีพระบรมราชโองการสั่งนายแพทย์ชีวก เพื่อได้รักษาเศรษฐีคหบดี”

ครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสารมหาราช ทรงมีพระราชดำรัสสั่งชีวกโกมารภัจจ์ ไปรักษาเศรษฐีคหบดีตามที่ประชาชนขอ หมอชีวกไปหาเศรษฐีสังเกตอาการที่ผิดแปลกของเศรษฐีคหบดีแล้ว ได้ถามเศรษฐีคหบดีว่า

ท่านคหบดี ถ้าฉันรักษาท่านหายโรค จะพึงมีรางวัลอะไรแก่ฉันบ้าง?”

เศรษฐี “ท่านอาจารย์ ทรัพย์สมบัติทั้งปวงจงเป็นของท่าน และตัวข้าพเจ้าก็ยอมเป็นทาสของท่าน”

ชีวกโกมารภัจจ์ “ท่านคหบดี ท่านอาจนอนข้างเดียวตลอด ๗ เดือนได้ไหม?”

เศรษฐี “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าอาจนอนข้างเดียวตลอด ๗ เดือนได้”

ชีวกโกมารภัจจ์ “ท่านคหบดี ท่านอาจนอนข้างที่สองตลอด ๗ เดือนได้ไหม?”

เศรษฐี “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าอาจนอนข้างที่สองตลอด ๗ เดือนได้”

ชีวกโกมารภัจจ์ “ท่านคหบดี ท่านอาจนอนหงายตลอด ๗ เดือนได้ไหม?”

เศรษฐี “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าอาจนอนหงายตลอด ๗ เดือนได้”

ครั้งนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ให้เศรษฐีคหบดีนอนบนเตียง มัดไว้กับเตียงถลกหนังศีรษะเปิดรอยประสานกระโหลกศีรษะ นำสัตว์มีชีวิตออกมาสองตัว แล้วแสดงแก่ประชาชนว่า ท่านทั้งหลายจงดูสัตว์มีชีวิต ๒ ตัวนี้ เล็กตัวหนึ่ง ใหญ่ตัวหนึ่ง พวกอาจารย์ที่ทำนายไว้อย่างนี้ว่า

“เศรษฐีคหบดีจักถึงอนิจกรรมในวันที่ ๕ เพราะท่านได้เห็นสัตว์ตัวใหญ่นี้ มันจักเจาะกินมันสมอง ของเศรษฐีคหบดีในวันที่ ๕ เศรษฐีคหบดีถูกมันเจาะกินสมองหมด ก็จักถึงอนิจกรรม สัตว์ตัวใหญ่นี้ชื่อว่า อันอาจารย์พวกนั้นเห็นถูกต้องแล้ว “

ส่วนพวกอาจารย์ที่ทำนายไว้อย่างนี้ว่า

“เศรษฐีคหบดีจักถึงอนิจกรรมในวันที่ ๗ เพราะท่านได้เห็นสัตว์ตัวเล็กนี้ มันจักเจาะกินมันสมอง ของเศรษฐีคหบดีในวันที่ ๗ เศรษฐีคหบดีถูกมันเจาะกินมันสมองหมด ก็จักถึงอนิจกรรม สัตว์ตัวเล็กนี้ชื่อว่า อันอาจารย์พวกนั้นเห็นถูกต้องแล้ว“

ดังนี้ แล้วปิดแนวประสานกระโหลกศีรษะเย็บหนังศีรษะแล้วได้ทายาสมานแผล.

ครั้นล่วงสัปดาห์หนึ่ง เศรษฐีคหบดีได้กล่าวคำนี้ต่อชีวกโกมารภัจจ์ว่า

“ท่านอาจารย์ข้าพเจ้าไม่อาจนอนข้างเดียวตลอด ๗ เดือนได้.“

ชีวกโกมารภัจจ์ “ท่านคหบดี ท่านรับคำฉันว่า ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าอาจนอนข้างเดียว ตลอด ๗ เดือน ได้ดังนี้ มิใช่หรือ? “

เศรษฐี “ข้าพเจ้ารับคำท่านจริง ท่านอาจารย์ แต่ข้าพเจ้าจักตายแน่ ข้าพเจ้าไม่อาจนอนข้างเดียวตลอด ๗ เดือนได้“

ชีวกโกมารภัจจ์ “ท่านคหบดี ถ้าเช่นนั้น ท่านจงนอนข้างที่สองตลอด ๗ เดือนเถิด“

ครั้นล่วงสัปดาห์หนึ่ง เศรษฐีคหบดี ได้กล่าวคำนี้ต่อชีวกโกมารภัจจ์ว่า

ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าไม่อาจนอนข้างที่สองตลอด ๗ เดือนได้“

ชีวกโกมารภัจจ์ “ท่านคหบดี ท่านรับคำฉันว่า ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้านอนข้างที่สองตลอด ๗ เดือนได้ดังนี้มิใช่หรือ? “

เศรษฐี “ข้าพเจ้ารับคำท่านจริง ท่านอาจารย์ แต่ข้าพเจ้าจักตายแน่ ข้าพเจ้าไม่อาจนอนข้างที่สองตลอด ๗ เดือนได้“

ชีวกโกมารภัจจ์ “ท่านคหบดี ถ้าเช่นนั้น ท่านจงนอนหงายตลอด ๗ เดือนเถิด”

ครั้นล่วงสัปดาห์หนึ่ง เศรษฐีคหบดี ได้กล่าวคำนี้ต่อชีวกโกมารภัจจ์ว่า

ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าไม่อาจนอนหงายตลอด ๗ เดือนได้”

ชีวกโกมารภัจจ์ “ท่านคหบดี ท่านรับคำฉันว่า ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าอาจนอนหงายตลอด ๗ เดือนได้ดังนี้ มิใช่หรือไม่?”

เศรษฐี “ข้าพเจ้ารับคำท่านจริง ท่านอาจารย์ แต่ข้าพเจ้าจักตายแน่ ข้าพเจ้าไม่อาจนอนหงาย ตลอด ๗ เดือนได้“

ชีวกโกมารภัจจ์ “ท่านคหบดี ถ้าฉันไม่บอกท่านไว้ ท่านก็นอนเท่านั้นไม่ได้ แต่ฉันทราบอยู่ก่อน แล้วว่า เศรษฐีคหบดีจักหายโรคในสามสัปดาห์ ลุกขึ้นเถิด ท่านหายป่วยแล้ว ท่านจงรู้ จะได้รางวัลอะไรแก่ฉัน“

เศรษฐี “ท่านอาจารย์ ก็ทรัพย์สมบัติทั้งปวงจงเป็นของท่าน ตัวข้าพเจ้าก็ยอมเป็นทาสของท่าน”

ชีวกโกมารภัจจ์ “อย่าเลย ท่านคหบดี ท่านอย่าได้ให้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดแก่ฉันเลย และท่านก็ไม่ต้องยอมเป็นทาสของฉัน ท่านจงทูลเกล้าถวายทรัพย์แก่พระเจ้าอยู่หัวแสนกหาปณะ ให้ฉันแสนกษาปณ์ก็พอแล้ว“

ครั้นเศรษฐีคหบดีหายป่วย ได้ทูลเกล้าถวายทรัพย์แด่พระเจ้าอยู่หัวแสนกษาปณ์ ได้ให้ แก่ชีวกโกมารภัจจ์ แสนกษาปณ์ ซึ่งอรรถกถาธิบายว่า หมอชีวกรู้ว่าหากเศรษฐีผลัดเปลี่ยนอิริยาบทบ่อย ๆ จะทำให้เนื้อสมองเคลื่อนไหว และแผลก็หายช้า จึงออกอุบายให้เศรษฐีรับคำว่าจะนอนตะแคงและนอนหงายอิริยาบถละ ๗ เดือน แต่ที่จริงต้องการให้นอนอิริยาบถเดิมอย่างละ ๗ วันเท่านั้น

รักษาบุตรเศรษฐีป่วยโรคเนื้องอกที่ลำไส้

สมัยนั้น เศรษฐีบุตรชาวพระนครพาราณสีได้เล่นกีฬาหกคะเมน ได้ป่วยเป็นโรคเนื้องอกที่ลำไส้ ข้าวยาคูที่เธอดื่มเข้าไปก็ดี ข้าวสวยที่เธอรับประทานก็ดี ไม่ย่อย อุจจาระและปัสสาวะออกไม่สะดวก เพราะโรคนั้น เธอจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณซูบซีด เหลืองขึ้น ๆ มีตัวสะพรั่งด้วยเอ็น

ครั้งนั้นเศรษฐีชาวพระนครพาราณสี ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า

“บุตรของเราได้เจ็บป่วยเช่นนั้น ข้าวยาคูที่เธอดื่มก็ดี ข้าวสวยที่เธอรับประทานก็ดี ไม่ย่อย อุจจาระและปัสสาวะออกไม่สะดวก บุตรของเรานั้นจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณซูบซีด เหลืองขึ้นๆ มีตัวสะพรั่งด้วยเอ็น เพราะโรคนั้น ถ้ากระไร เราพึงไปพระนครราชคฤห์แล้วทูลขอนายแพทย์ชีวกต่อพระเจ้าอยู่หัว เพื่อจะได้รักษาบุตรของเรา“

ต่อแต่นั้นเศรษฐีชาวพระนครราชคฤห์ แล้วเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช แล้วได้กราบทูลว่า

“ขอเดชะฯ บุตรของข้าพระพุทธเจ้าได้เจ็บป่วยเช่นนั้น ข้าวยาคูที่เธอดื่มก็ดี ข้าวสวยที่เธอรับประทานก็ดี ไม่ย่อย อุจจาระและปัสสาวะออกไม่สะดวก เธอจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณซูบซีดเหลืองขึ้นๆ มีตัวสะพรั่งด้วยเอ็น เพราะโรคนั้น ขอพระราชทาน พระบรมราชวโรกาส ขอใต้ฝ่าละอองธุลี พระบาทจงมีพระบรมราชโองการสั่งนายแพทย์ชีวก เพื่อจะได้รักษาบุตรของข้าพระพุทธเจ้า“

ดังนั้น พระเจ้าพิมพิสาร ได้ทรงมีพระราชดำรัสสั่งชีวกโกมารภัจจ์ ให้ไปพระนครพาราณสี หมอชีวกเดินทางไปตรวจอาการป่วยแล้วทำการผ่าตัด โดยการมัดลูกเศรษฐีไว้กับเสา ผ่าหนังท้องนำเนื้องอกในลำไส้ออกมาให้ภรรยาของเขาดู แล้วสอดลำไส้กลับดังเดิม เย็นหน้าท้องแล้วทายาสมานแผล ไม่นานนักเขาก็หายจากโรค ซึ่งเศรษฐีจึงให้รางวัลแก่ชีวกโกมารภัจจ์เป็นเงิน ๑๖,๐๐๐ กษาปณ์ ชีวกโกมารภัจจ์รับเงิน ๑๖,๐๐๐ กษาปณ์นั้น เดินทางกลับมาสู่พระนครราชคฤห์ตามเดิม.

รักษาพระเจ้าจัณฑปัชโชต

สมัยนั้น พระเจ้าปัชโชตราชาในกรุงอุชเชนี ทรงประชวรโรคผอมเหลือง นายแพทย์ที่ใหญ่ ๆ มีชื่อเสียงโด่งดังหลายคนมารักษา ก็ไม่อาจทำให้โรคหาย ได้ขนเงินไปเป็นอันมาก

ครั้งนั้น พระเจ้าปัชโชตได้ส่งราชทูตถือพระราชสาส์น ไปในพระราชสำนักพระเจ้าพิมพิสาร มีใจความว่า

“หม่อมฉันเจ็บป่วยเป็นอย่างนั้น ขอพระราชทาน พระบรมราชวโรกาส ขอพระองค์โปรดสั่งหมอชีวก เขาจักรักษาหม่อมฉัน“

พระเจ้าพิมพิสารจึงได้ดำรัสสั่งชีวกโกมารภัจจ์ให้ไปเมืองอุชเชนีรักษาพระเจ้าปัชโชต

ชีวกโกมารภัจจ์ทูลรับสนองพระบรมราชโองการ แล้วเดินทางไปเมืองอุชเชนี เข้าไปใน พระราชสำนัก แล้วเข้าเฝ้าพระเจ้าปัชโชตได้ตรวจอาการที่ผิดแปลกของพระเจ้าปัชโชต แล้วได้กราบทูลคำนี้แด่ท้าวเธอว่า

ขอเดชะฯ ข้าพระพุทธเจ้าจักหุงเนยใส พระองค์จักเสวยเนยใสนั้น”

พระเจ้าปัชโชตรับสั่งห้ามว่า “อย่าเลย พ่อนายชีวก ท่านเว้นเนยใสเสีย อาจรักษาเราให้หายโรคได้ด้วยวิธีใด ท่านจงทำวิธีนั้นเถิด เนยใสเป็นของน่าเกลียด น่าสะอิดสะเอียน สำหรับฉัน“

ขณะนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ได้มีความปริวิตกว่า

“พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้แล ทรงประชวรเช่นนี้ เราเว้นเนยใสเสียไม่อาจรักษาพระองค์ ให้หายโรคได้ เอาละเราควรหุงเนยใสให้มีสี กลิ่น รส เหมือนน้ำฝาด“ ดังนี้แล้วได้หุงเนยใส ด้วยเภสัชนานาชนิดให้มีสี กลิ่น รส เหมือนน้ำฝาด ครั้นแล้วฉุกคิดได้ว่า

เนยใสที่พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เสวยแล้ว เมื่อย่อย จักทำให้เรอ พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ทรงเกรี้ยวกราด จะพึงรับสั่งให้พิฆาตเราเสียก็ได้ ถ้ากระไรเราพึงทูลลาไว้ก่อน

วันต่อมาจึงไปในพระราชสำนัก เข้าเฝ้าพระเจ้าปัชโชต แล้วได้กราบทูลคำนี้ แด่ท้าวเธอว่า

ขอเดชะ ฯ พวกข้าพระพุทธเจ้าชื่อว่าเป็นนายแพทย์ จักถอนรากไม้มาผสมยาชั่วเวลาครู่หนึ่ง เช่นที่ประสงค์นั้น ขอประทานพระบรมราชวโรกาส ขอฝ่าละอองธุลีพระบาท จงทรงมีพระราชโองการตรัสสั่งเจ้าพนักงานในโรงราชพาหนะและที่ประตูทั้งหลายว่า หมอชีวกต้องการไปด้วยพาหนะใด จงไปด้วยพาหนะนั้น ปรารถนาไปทางประตูใด จงไปทางประตูนั้น ต้องการไปเวลาใด จงไปเวลานั้น ปรารถนาจะเข้ามาเวลาใด จงเข้ามาเวลานั้น“

พระเจ้าปัชโชตได้มี พระราชดำรัสสั่งเจ้าพนักงานในโรงราชพาหนะและที่ประตูทั้งหลาย ตามที่หมอชีวกกราบทูลขอบรมราชานุญาตไว้ทุกประการ

สมัยนั้น พระเจ้าปัชโชตมีช้างพังชื่อภัททวดี เดินทางได้วันละ ๕๐ โยชน์ จึงหมอชีวกโกมารภัจจ์ได้ทูลถวายเนยใสนั้นแด่พระเจ้าปัชโชตด้วยกราบทูลว่า

“ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงเสวยน้ำฝาด“

ครั้นให้พระเจ้าปัชโชตเสวยเนยใสแล้วก็ไปโรงช้างหนีออกจากพระนครไปโดยช้างพังภัททวดี ขณะเดียวกันนั้น เนยใสที่พระเจ้าปัชโชตเสวยนั้นย่อย ได้ทำให้ทรงเรอขึ้น จึงพระเจ้าปัชโชตได้รับสั่งแก่พวกมหาดเล็กว่า

“พนายทั้งหลาย เราถูกหมอชีวกชาติชั่วลวงให้ดื่ม เนยใส พวกเจ้าจงค้นจับหมอชีวกมาเร็วไว“

พวกมหาดเล็กกราบทูลว่า “หมอชีวกหนีออกจากพระนครไปโดยช้างพังภัททวดีแล้ว พระพุทธเจ้าข้า“

สมัยนั้น พระเจ้าปัชโชตมีมหาดเล็กชื่อกากะ ซึ่งอาศัยเกิดกับอมนุษย์ เดินทางได้วันละ ๖๐ โยชน์ พระเจ้าปัชโชตดำรัสสั่ง กากะมหาดเล็กว่า

“พ่อนายกากะ เจ้าจงไปเชิญหมอชีวกกลับมา ด้วยอ้างว่าท่านอาจารย์ พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้เชิญท่านกลับไป ขึ้นชื่อว่า หมอเหล่านี้แลมีมารยามาก เจ้าอย่ารับวัตถุอะไร ๆ ของเขา“

ครั้งนั้น กากะมหาดเล็กได้เดินไปทันชีวกโกมารภัจจ์ ผู้กำลังรับประทานอาหารมื้อเช้า ในระหว่างทางเขตพระนครโกสัมพี จึงได้เรียนแก่ชีวกโกมารภัจจ์ว่า

ท่านอาจารย์ พระเจ้าอยู่หัว รับสั่งให้เชิญท่านกลับไป”

ชีวกโกมารภัจจ์ “พ่อนายกากะ ท่านจงรออยู่เพียงชั่วเวลาที่เรารับประทานอาหาร เชิญท่านรับประทานอาหารด้วยกันเถิด“

กากะ “ช่างเถิดท่านอาจารย์ พระเจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งข้าพเจ้าไว้ว่า พ่อนายกากะ ขึ้นชื่อว่า หมอเหล่านี้มีมารยามาก อย่ารับวัตถุอะไรของเขา“

ทันใดนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ ได้แซกยาทางเล็บ พลางเคี้ยวมะขามป้อม และดื่มน้ำ รับประทาน แล้วได้ร้องเชื้อเชิญกากะมหาดเล็กว่า

“เชิญพ่อนายกากะมาเคี้ยวมะขามป้อมและดื่มน้ำรับประทานด้วยกัน“

จึงกากะมหาดเล็กคิดว่า หมอคนนี้แลกำลังเคี้ยวมะขามป้อมและดื่มน้ำรับประทาน คงไม่มีอะไรจะให้โทษ แล้วเคี้ยวมะขามป้อมครึ่งผล และดื่มน้ำรับประทาน มะขามป้อมครึ่งผลที่เขาเคี้ยวนั้นได้ระบายอุจจาระออกมาในที่นั้นเอง

ครั้งนั้น กากะมหาดเล็กได้เรียนถามชีวกโกมารภัจจ์ว่า “ท่านอาจารย์ ชีวิตของข้าพเจ้า จะรอดไปได้หรือ? “

ชีวกโกมารภัจจ์ตอบว่า “อย่ากลัวเลย พ่อนายกากะ ท่านจักไม่มีอันตราย แต่พระเจ้าอยู่หัวทรงเกรี้ยวกราด จะพึงรับสั่งให้พิฆาตเราเสียก็ได้ เพราะเหตุนั้นเราไม่กลับละ“

แล้วมอบช้างพังภัททวดีแก่นายกากะ เดินทางไปพระนครราชคฤห์ รอนแรมไปโดยลำดับ ถึงพระนครราชคฤห์แล้วเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบทุกประการ

พระเจ้าพิมพิสารรับสั่งว่า “พ่อนายชีวก เจ้าไม่กลับไปนั้นชื่อว่าได้ทำถูกแล้ว เพราะพระราชาองค์นั้นเหี้ยมโหด จะพึงสั่งให้สำเร็จโทษเจ้าเสียก็ได้”

พระเจ้าจัณฑปัชโชตพระราชทานผ้าสิเวยยกะ

ครั้นพระเจ้าปัชโชตทรงหายประชวร ทรงส่งราชทูตไปที่สำนักชีวกโกมารภัจจ์ว่า “เชิญหมอชีวกมา เราจักให้พร”

ชีวกกราบทูลตอบไปว่า “ไม่ต้องไปก็ได้ พระพุทธเจ้าข้า ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จงทรงโปรดอนุสรณ์ถึงความดีของข้าพระพุทธเจ้า“

ต่อมา พระเจ้าปัชโชตได้ผ้าเนื้อดีเลิศ ประเสริฐ มีชื่อเยี่ยมกว่าผ้าอื่น ๆ ทั้งหลายเป็นอันมากคู่หนึ่ง ทรงระลึกถึงความดีของหมอชีวก ครั้นนั้น พระเจ้าปัชโชตทรงส่งผ้าสิเวยยกะคู่นั้นไปพระราชทานแก่ชีวกโกมารภัจจ์ หมอชีวกโกมารภัจจ์ได้มีความดำริว่าผ้าสิเวยยกะคู่นี้ พระเจ้าปัชโชตส่งมาพระราชทาน เป็นผ้าเนื้อ ดีเลิศ ประเสริฐ มีชื่อเด่น อุดม และเป็นเยี่ยมกว่าผ้าทั้งหลายเป็นอันมาก  นอกจากพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น หรือพระเจ้าพิมพิสารจอมมหาราชแล้ว ใครอื่นไม่ควรอย่างยิ่งเพื่อใช้ผ้าสิเวยยกะ คู่นี้

อรรถกถาว่า ผ้าสีเวยยกะเป็นผ้าอวมงคลที่ทิ้งไว้ในป่าช้าของอุตตรกุรุทวีป มนุษย์ในทวีปนั้นห่อศพนำไปทิ้งป่าช้า มีนกหัสดีลิงค์คิดว่าผ้าเป็นชิ้นเนื้อ จึงเฉี่ยวไปวางที่ยอดเขาหิมพานต์ พวกพรานพบผ้าแล้วนำถวายแก่พระราชา แต่อาจารย์บางจำพวกอธิบายว่า เป็นผ้าที่สตรีผู้ฉลาดในแคว้นสีพี ฟั่นด้ายด้วยขนสัตว์ ๓ เส้น แล้วทอขึ้นมาเป็นผ้าสีเวยยกะ

บำบัดโทษในกายพระผู้มีพระภาคเจ้า

สมัยนั้น พระกายของพระผู้มีพระภาคหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ พระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า

ดูกรอานนท์ กายของตถาคตหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ ตถาคตต้องการจะฉันยาถ่าย”

ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เดินไปหาชีวกโกมารภัจจ์ ครั้นถึงแล้วได้กล่าวคำนี้กะชีวกโกมารภัจจ์ว่า

ท่านชีวก พระกายของพระตถาคตหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ พระตถาคต ต้องการจะเสวยพระโอสถถ่าย“

ชีวกโกมารภัจจ์กล่าวว่า “พระคุณเจ้า ถ้าอย่างนั้น ขอท่านจงโปรดทำพระกายของพระผู้มีพระภาคให้ชุ่มชื่นสัก ๒-๓ วัน“

ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้ทำพระกายของพระผู้มีพระภาคให้ชุ่มชื่น ๒-๓ วันแล้ว เดินไปหาชีวกโกมารภัจจ์ ครั้นถึงแล้วได้กล่าวคำนี้กะชีวกโกมารภัจจ์ว่า

ท่านชีวก พระกายของพระตถาคตชุ่มชื่นแล้ว บัดนี้ ท่านรู้กาลอันควรเถิด“

ครั้งนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า

“การที่เราจะพึงทูลถวายพระโอสถ ถ่ายที่หยาบแด่พระผู้มีพระภาคนั้น ไม่สมควรเลย ถ้ากระไร เราพึงอบก้านอุบล ๓ ก้านด้วยยาต่างๆ แล้วทูลถวายพระตถาคต“

ครั้นแล้วได้อบก้านอุบล ๓ ก้านด้วยยาต่าง ๆ แล้วเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วได้ทูลถวายก้านอุบลก้านที่หนึ่งแด่พระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า

พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงสูดก้านอุบลก้านที่ ๑ นี้ การทรงสูดก้านอุบลนี้ จักยังพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายถึง ๑๐ ครั้ง”

แล้วได้ทูลถวายก้านอุบลก้านที่ ๒ แด่พระผู้มีพระภาคกราบทูลว่า

พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงสูดอุบลก้านที่ ๒ นี้ การทรงสูดก้านอุบลนี้ จักยังพระผู้มี พระภาคให้ถ่ายถึง ๑๐ ครั้ง”

แล้วได้ทูลถวายก้านอุบลก้านที่ ๓ แด่พระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า

พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงสูดก้านอุบลก้านที่ ๓ นี้ การทรงสูดก้านอุบลนี้ จักยังพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายถึง ๑๐ ครั้ง ด้วยวิธีนี้ พระผู้มีพระภาคจักทรงถ่ายถึง ๓๐ ครั้ง”

ครั้นชีวกโกมารภัจจ์ ทูลถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อถ่ายครบ ๓๐ ครั้งแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณกลับไป ขณะเมื่อชีวกโกมารภัจจ์เดินออกไปนอกซุ้มประตูแล้วได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า

“เราทูลถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง พระกายของพระตถาคตหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ จักไม่ยังพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง จักให้ถ่ายเพียง ๒๙ ครั้ง แต่พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายแล้วจักสรงพระกาย ครั้นสรงพระกายแล้ว จักถ่ายอีกครั้งหนึ่ง อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคจักทรงถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของชีวกโกมารภัจจ์ด้วยพระทัยแล้ว รับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า

อานนท์ ชีวกโกมารภัจจ์ กำลังเดินออกนอกซุ้มประตูวิหารนี้ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า

“เราถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อถ่ายครบ ๓๐ ครั้งแล้ว พระกายของพระตถาคตหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ จักไม่ยังพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง จักให้ถ่ายเพียง ๒๙ ครั้ง แต่พระผู้มีพระภาคทรงสรงพระกาย ครั้นสรงพระกายแล้วจักถ่ายอีกครั้งหนึ่ง อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคจักทรงถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง อานนท์ถ้าอย่างนั้น เธอจงจัดเตรียมน้ำร้อนไว้ “

พระอานนท์ทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว จัดเตรียมน้ำร้อนไว้ถวาย

ต่อมา ชีวกโกมารภัจจ์ไปในพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายแล้วหรือ พระพุทธเจ้าข้า

พระพุทธองค์ “เราถ่ายแล้ว ชีวก”

ชีวกโกมารภัจจ์ “พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ากำลังเดินออกไปนอกซุ้มประตูพระวิหารนี้ ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า

“เราถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อถ่ายครบ ๓๐ ครั้งแล้ว พระกายของพระผู้มีพระภาคหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ จักไม่ยังพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง แต่พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายแล้วจักสรงพระกาย ครั้นสรงพระกายแล้วจักถ่ายอีกครั้งหนึ่งอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคจักทรงถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงโปรดสรงพระกาย”

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสรงน้ำอุ่น ครั้นสรงแล้ว ทรงถ่ายอีกครั้งหนึ่งอย่างนี้ เป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง ลำดับนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า

“พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคไม่ควรเสวยพระกระยาหารที่ปรุงด้วยน้ำต้มผักต่าง ๆ จนกว่าจะมีพระกายเป็นปกติ“

เมื่อพระกายของพระผู้มีพระภาคได้หายเป็นปกติแล้ว พระมหาโมคคัลลานะได้นำบิณฑบาตเป็นข้าวสุกจากข้าวสาลีหอมราดด้วยน้ำนมสดจากเรือนของบุตรเศรษฐีชื่อโสณะ(ต่อมาคือพระโสณะโกฬิวิสะ) มีการอบบาตรด้วยของหอมด้วย ซึ่งเทวดาแทรกโอชาลงในบิณฑบาตทีละคำด้วย (ซึ่งเทวดาแทรกโอชารสลงในอาหารที่ยังอยู่ในภาชนะ ๒ ครั้ง คือ บิณฑบาตที่นางสุชาดาถวายคราวตรัสรู้ และบิณฑบาตที่นายจุนทกัมมารบุตรถวายคราวปรินิพพาน)

พระโมคคัลลานะนำบิณฑบาตส่งกลิ่นหอมมา พระเจ้าพิมพิสารทรงได้กลิ่นบิณฑบาตจนอยากเสวย พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิดของพระราชาแล้ว ตรัสให้ถวายอาหารนั้นหน่อยหนึ่ง ซึ่งเทวดายังไม่ได้แทรกโอชาลงไป พระราชาตรัสถามว่า เป็นอาหารจากอุตตรกุรุทวีปหรือ? พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า เป็นบิณฑบาตที่นำมาจากบ้านของโสณะผู้เป็นลูกเศรษฐี ผู้ละเอียดอ่อน มีขนขึ้นที่ฝ่าเท้า ทำให้พระเจ้าพิมพิสารเสด็จไปทอดพระเนตร

ต่อมา โสณะและกุลบุตร ๘๐,๐๐๐ คน ออกบวช พระพุทธเจ้าตรัสให้แบ่งอาหารให้พระราชาก็เพื่อประโยชน์นี้

กราบทูลขอพรให้พระสงฆ์รับจีวรที่มีผู้ถวายได้

ครั้งนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ ถือผ้าสิเวยยกะคู่นั้นไปในพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ชีวกโกมารภัจจ์นั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลคำนี้ แด่พระผู้มีพระภาคว่า

ข้าพระพุทธเจ้าจะขอประทานพรต่อพระผู้มีพระภาคสักอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าข้า“

พระพุทธองค์ “พระตถาคตทั้งหลายเลิกให้พรเสียแล้ว ชีวก”

ชีวกโกมารภัจจ์ “ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพรที่สมควรและไม่มีโทษ พระพุทธเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ “จงว่ามาเถิด ชีวก”

ชีวกโกมารภัจจ์ “พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคและพระสงฆ์ทรงถือผ้าบังสุกุลเป็นปกติอยู่ ผ้าสิเวยยกะของข้าพระพุทธเจ้าคู่นี้ พระเจ้าปัชโชตทรงส่งมาพระราชทาน เป็นผ้าเนื้อดีเลิศ mประเสริฐมีชื่อเสียงเด่นอุดม และเป็นเยี่ยมกว่าผ้าทั้งหลายเป็นอันมาก ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงพระกรุณาโปรดรับผ้าคู่สิเวยยกะของข้าพระพุทธเจ้า และขอจงทรงพระพุทธานุญาตคหบดีจีวร (คือจีวรที่มีผู้ถวาย) แก่พระสงฆ์ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคทรงรับผ้าคู่สิเวยยกะแล้ว ครั้นแล้วทรงชี้แจงให้ชีวกโกมารภัจจ์ เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมมีกถา หลังจากหมอชีวกลากลับไปแล้ว ทรงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตคหบดีจีวร รูปใดปรารถนาจะถือผ้าบังสุกุลก็จงถือ รูปใดปรารถนาจะรับคหบดีจีวรก็จงรับ แต่เราสรรเสริญการยินดีในปัจจัยตามมีตามได้..”

อรรถกถาว่า หลังตรัสรู้จนถึง ๒๐ ปี ต่อมาภิกษุทั้งหลายใช้กันแต่ผ้าบังสุกุล(คือผ้าที่คนทิ้งไว้ ภิกษุไปเก็บมาแล้ว ตัด เย็ย ย้อม นุ่งห่ม) หมอชีวกจึงกราบทูลขอพรอย่างนั้น

กราบทูลถวายผ้ากัมพล

สมัยต่อมา พระเจ้ากาสี ราชาแห่งแคว้นกาสี (เป็นน้องร่วมพระบิดาเดียวกับพระเจ้าปเสนทิโกศล) ทรงพระราทานผ้ากัมพล(ผ้าทอด้วยขนสัตว์) มีราคาครึ่งกาสีแก่ชีวกโกมารภัจจ์ หมอชีวกนำผ้ากัมพลเข้าเฝ้ากราบทูลถวายแด่พระพุทธเจ้าด้วยคำว่า

“ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงพระกรุณาโปรดรับผ้ากัมพลของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพพระพุทธเจ้าตลอดกาลนานเทอญ พระพุทธเจ้าข้า”

พระพุทธเจ้าทรงรับและอนุญาตให้ภิกษุรับผ้ากัมพลได้ (วินย.มหา.ข้อ ๑๒๘-๑๓๘) รวมทั้งผ้าที่ควรแก่ภิกษุทั้งหลายด้วย

อรรถกถาอธิบายว่า หนึ่งพันเรียกว่ากาสีหนึ่ง ผ้ากัมพลมีราคาพันหนึ่ง เรียกว่ามีค่ากาสีหนึ่ง แต่ผ้ากัมพลผืนนี้ราคา ๕๐๐ จึงเรียกว่าครึ่งกาสี (ดู วินย.อ.๕/๒/๓๑๙-๓๒๙)

หมอชีวกบรรลุโสดาบัน สร้างวัด อัมพวัน ถวายพระพุทธเจ้า

ครั้นชีวกโกมารภัจจ์ อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมมีกถาแล้ว หมอชีวกได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้า ปรารถนาจะไปเฝ้าเพื่อทำการอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าวันละ ๒-๓ ครั้ง เห็นว่า พระเวฬุวันไกลเกินไปจากบ้านที่หมอชีวกพักอาศัย จึงได้ดำริว่าสวนมะม่วง(อัมพวัน)ที่ได้รับพระราชทานมาจากพระเจ้าพิมพิสารมหาราชนั้นอยู่ใกล้และสดวกกว่า จึงได้สร้างวัดถวายในอัมพวัน คือ สวนมะม่วงของตนเรียกกันว่า ชีวกัมพวัน (อัมพวัน ของหมอชีวก)

แล้วให้สร้างที่หลบเร้น กุฏีและมณฑป เป็นต้น สำหรับพักกลางคืนและที่พักกลางวัน ให้สร้างพระคุนธกุฏีที่เหมาะสมกับพระพุทธเจ้า จากนั้นให้สร้างกำแพงสีใบไม้แดงสูง ๑๘ ศอก ล้อมรอบสวนอัมพวันไว้ สร้างเสร็จแล้วได้อาราธนานิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขฉันภัตตาหารและรับจีวร แล้วหลั่งน้ำทิกษิโณทกมอบถวายวิหารอัมพวัน (ม.อ.๒/๑๑๑๐๔-๕,ที.อ.๑/๑/๓๓๘-๙)

นอกจากนั้น หมอชีวกได้กราบทูลเสนอให้ทรงอนุญาตที่จงกรมและเรือนไฟเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นที่บริหารกายช่วยรักษาสุขภาพของภิกษุทั้งหลาย.

โรคระบาด ๕ ชนิด

ครั้นหนึ่ง มีโรคระบาดในมคธชนบท ๕ ชนิด คือ โรคเรื้อน ๑ โรคฝี ๑ โรคกลาก ๑ โรคมองคร่อ ๑ โรคลมบ้าหมู ๑ จึงเป็นเหตุให้มีคนมาบวชเพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษาตัวจำนวนมาก จนหมอชีวกต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้า ให้ทรงบัญญัติข้อห้ามมิให้รับบวชคนเจ็บป่วย ด้วยโรค ๕ ชนิด ใครบวชให้ถือว่าเป็นอาบัติทุกกฏ

พระเทวทัตทำโลหิตุปบาทกรรม

พระเทวทัตทำโลหิตุปบาทกรรม
พระเทวทัตทำโลหิตุปบาทกรรม

สมัยหนึ่ง พระเทวทัตเมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้วได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้เปนที่ประจักษ์แก่พระราชกุมารอชาตศรัตรู ยังผลให้พระราชกุมารมีศรัทธาเลื่อมใสพระเทวทัตเป็นอันมาก จึงทรงส่งอาหารดี ๆ ไปให้พระเทวทัตและพรรคพวก

ต่อมา พระเทวทัตเกิดความทะเยอทยานมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการปกครองภิกษุสงฆ์เพื่อครอบครองพุทธจักร จึงทูลยุยงให้พระราชกุมารปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารเพื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินครอบครองอาณาจักร พระเทวทัตวางแผนปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าหลายวิธี วิธีหนึ่งคือ ตัดสินใจขึ้นบนภูเขาคิชฌกูฏแต่เช้าตรู่ รอเวลาพระพุทธเจ้าเสด็จจงกรมก็กลิ้งหินใส่ แต่ก้อนหินปะทะเข้ากับยอดเขา ๒ ยอดก่อน จึงมีเพียงสะเก็ดหินแตกกระเด็นใส่พระบาทพระพุทธเจ้าจนเกิดพระโลหิตห้อขึ้น ทรงมีทุกขเวทนากล้า ภิกษุทั้งหลายนำพระองค์ไปพักที่สวนมัททกุจฉิ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลจะปลงชีวิตพระตถาคตด้วยความพยายามของผู้อื่นนั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส เพราะพระตถาคตทั้งหลาย ย่อมไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น” (วินย.จูฬ.ข้อ๓๗๒)

หมอชีวกทำการพยาบาลแผล

ภิกษุทั้งหลายนำพระศาสดาไปยังสวนมัททกุจฉิ พระศาสดามีพระประสงค์จะเสด็จ แม้จากสวนมัททกุจฉินั้นไปยังสวนมะม่วงของหมอชีวกจึงตรัสว่า

“เธอทั้งหลาย จงนำเราไปในสวนมะม่วงของหมอชีวกนั้น”

พวกภิกษุได้พาพระผู้มีพระภาคเจ้าไปยังสวนมะม่วงแล้ว หมอชีวกทราบเรื่องนั้นจึงไปสู่สำนักพระศาสดา ถวายเภสัชแล้วผ่าแผลนำเลือดที่คั่งอยู่ออก แล้วใส่ยาขนานที่ชะงัก เพื่อประโยชน์กำชับแผล พันแผลเสร็จแล้ว ได้กราบทูลพระศาสดาว่าตนเองต้องขอตัวไปรักษาคนป่วยในพระนครก่อน เสร็จแล้วจักกลับมา ขอให้พระองค์ทรงรอจนกว่าตนจะกลับมา

เมื่อหมอชีวกไปรักษาคนป่วยนั้นแล้ว กลับออกจากพระนครไม่ทัน ประตูเมืองปิดเสียก่อน ทำให้หมอชีวกมีความปริวิตกว่า

“แย่จริง เราทำกรรมหนักเสียแล้ว ที่เราถวายเภสัชอย่างชะงัดพันแผลที่พระบาทของพระตถาคตเจ้า ดุจคนสามัญ เวลานี้เป็นเวลาแก้แผลนั้น เมื่อแผลนั้นอันเรายังไม่แก้ ความเร่าร้อนในพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าจักเกิดตลอดคืนยังรุ่ง”

ขณะนั้น พระพุทธองค์ทรงทราบความปริวิตกของหมอชีวก จึงตรัสเรียกพระอานนท์เถระมาเฝ้า รับสั่งว่า อานนท์ หมอชีวกมาในเวลาเย็นไม่ทันประตูปิดเสียแล้ว เวลานี้เป็นเวลาแก้แผลเธอจงแก้ผ้าพันแผลนั้นออก พระอานนท์แก้แล้วแผลได้หายสนิท ดุจสเก็ดไม้หลุดออกจากต้นไม้

หมอชีวกมายังสำนักพระศาสดาโดยเร็ว ภายในอรุณนั่นแล ทูลถามว่า  “ความเร่าร้อนเกิดขึ้นในพระสรีระของพระองค์หรือไม่?” พระศาสดาตรัสว่า “ชีวก ความเร่าร้อนทั้งปวงของตถาคตสงบราบคาบแล้ว ที่โคนไม้โพธิพฤกษ์นั่นแล” ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-

“ความเร่าร้อน ย่อมไม่มีแก่ท่านผู้มีทางไกลอันถึงแล้ว หาความเศร้าโศกมิได้ หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง ผู้ละกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวงได้แล้ว.” (ขุ.ธ.ข้อ๑๗,ธ.อ.๒/๓๖๕-๗,ชาดก.อ.๓/๗/๑๓๑)

หมอชีวกพาพระอชาตศัตรูเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับ ณ สวนอัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ใกล้พระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป วันนั้นเป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำเป็นวันครบ ๔ เดือน ฤดูดอกโกมุทบาน ในราตรีเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่า อชาตศัตรูเวเทหิบุตร แวดล้อมด้วยราชอำมาตย์ประทับนั่ง ณ พระมหาปราสาทชั้นบนขณะนั้น พระองค์ทรงเปล่งพระอุทานว่า

“ดูกรอำมาตย์ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่างน่ารื่นรมย์หนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง ช่างงามจริงหนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่างน่าชมจริงหนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่างน่าเบิกบานจริงหนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง เข้าลักษณะ จริงหนอ วันนี้เราควรจะเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดดีหนอ ซึ่งจิตของเราผู้เข้าไปหาพึงเลื่อมใสได้”

ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว อำมาตย์ผู้หนึ่งจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านปูรณะกัสสป ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ…” กราบทูลอย่างนี้แล้วพระองค์ท่านก็ยังทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านมักขลิโคศาล ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ…” กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ยังทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านอชิต เกสกัมพล ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ …” กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านปกุธะ กัจจายนะ ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ ..”. กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่ อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านสญชัย เวลัฏฐบุตร ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ …” กราบทูลอย่างนี้แล้วก็ทรงนิ่งอยู่  อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ท่านนิครนถ์ นาฏบุตร ปรากฏว่าเป็น เจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ..”. กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่

สมัยนั้น หมอชีวกโกมารภัจจ์ นั่งนิ่งอยู่ในที่ไม่ไกลจากพระเจ้าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร  จึงมีพระราชดำรัสกะหมอชีวก โกมารภัจจ์ว่า “ชีวกผู้สหาย เธอทำไมจึงนิ่งเสียเล่า”

หมอชีวกโกมารภัจจ์ กราบทูลว่า “ขอเดชะ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ สวนอัมพวันของข้าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป พระเกียรติศัพท์อันงามของพระองค์ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมดังนี้ เชิญพระองค์ เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระฤทัยพึงเลื่อมใส “

จึงมีพระราชดำรัสว่า “ชีวกผู้สหาย ถ้าอย่างนั้น ท่านจงสั่งให้จัดเตรียมช้างพาหนะไว้.”

หมอชีวกรับพระราชโองการแล้ว สั่งให้กองพลเตรียมช้างพังประมาณ ๕๐๐ เชือก และช้างพระที่นั่ง พร้อมแล้วได้ราบทูลเชิญเสด็จออกจากพระนครราชคฤห์ ด้วยพระราชานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ เสด็จไปสวนอัมพวันของหมอชีวก โกมารภัจจ์.

พอใกล้จะถึง พระเจ้าอชาตศัตรูเกิดทรงหวาดหวั่นครั่นคร้าม และ ทรงมีความสยดสยองขึ้น ครั้นทรงกลัว ทรงหวาดหวั่น มีพระโลมชาตชูชันแล้ว จึงตรัส กับหมอชีวก โกมารภัจจ์ว่า

“ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้ลวงเราหรือ”

“ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้หลอกเราหรือ”

“ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้ล่อเรามาให้ศัตรูหรือ เหตุไฉนเล่า ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ตั้ง ๑,๒๕๐ รูป จึงไม่มีเสียงจาม เสียงกระแอม เสียงพึมพำเลย“

หมอชีวก โกมารภัจจ์กราบทูลว่า “ขอพระองค์อย่าได้ทรงหวาดหวั่นเกรงกลัวเลยพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ลวงพระองค์ ไม่ได้หลอกพระองค์ ไม่ได้ล่อพระองค์มาให้ศัตรูเลย พระเจ้าข้า ขอเดชะ เชิญพระองค์เสด็จ เข้าไปเถิด ๆ นั่นประทีปที่โรงกลมยังตามอยู่.“

ลำดับนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนช้างพระที่นั่งไปจนสุดทาง เสด็จลงทรงพระดำเนินเข้าประตูโรงกลมแล้วจึงรับสั่งกะหมอชีวกโกมารภัจจ์ว่า

“ชีวกผู้สหาย ไหนพระผู้มีพระภาค”.

หมอชีวก โกมารภัจจ์ กราบทูลว่า “ขอเดชะ นั่นพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งพิงเสากลาง ผินพระพักตร์ไปทางทิศบูรพา ภิกษุสงฆ์แวดล้อมอยู่”

ลำดับนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ทรงชำเลืองเห็นภิกษุสงฆ์นิ่งสงบเหมือนห้วงน้ำใส ทรงเปล่งพระอุทานว่า

“ขอให้อุทยภัทท์กุมาร ของเราจงมีความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้”

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรมหาบพิตร พระองค์ เสด็จมาทั้งความรัก”

พระองค์ทูลรับว่า “พระเจ้าข้า อุทยภัทท์กุมารเป็นที่รักของหม่อมฉัน ขอให้อุทยภัทท์กุมารของหม่อมฉันจงมีความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้เถิด.”

ลำดับนั้น ทรงอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วทรงประนมอัญชลีแก่ภิกษุสงฆ์ ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

ครั้นแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะขอทูลถามปัญหาบางเรื่องสักเล็กน้อย ถ้าพระองค์จะประทานพระวโรกาสพยากรณ์ปัญหาแก่หม่อมฉัน”

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “เชิญถามเถิด มหาบพิตร ถ้าทรงพระประสงค์”.

หลังจากนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทูลถาม และพระพุทธองค์ทรงแสดง สามัญผลสูตร พระเจ้าอชาตศัตรูแสดงพระองค์เป็นอุบาสก เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาอย่างนี้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหิบุตร ได้กราบทูลพระดำรัสนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันนี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำหม่อมฉันว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โทษได้ครอบงำหม่อมฉัน ซึ่งเป็นคนเขลา คนหลง ไม่ฉลาด หม่อมฉันได้ปลงพระชนมชีพ พระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมเพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงรับทราบความผิดของหม่อมฉันโดยเป็นความผิดจริง เพื่อสำรวมต่อไป”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “จริง จริง ความผิดได้ครอบงำมหาบพิตรซึ่งเป็นคนเขลา คนหลงไม่ฉลาด มหาบพิตรได้ปลงพระชนมชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ แต่เพราะมหาบพิตรทรงเห็นความผิดโดยเป็นความผิดจริงแล้ว ทรงสารภาพ ตามเป็นจริง ฉะนั้น อาตมภาพ ขอรับทราบความผิดของมหาบพิตร ก็การที่บุคคลเห็นความผิด โดยเป็นความผิดจริงแล้วสารภาพตามเป็นจริงรับสังวรต่อไป นี้เป็นความชอบในวินัยของพระอริยเจ้าแล”.

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูได้กราบทูลลาว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลาไปในบัดนี้ หม่อมฉันมีกิจมาก มีกรณียะมาก”

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ขอมหาบพิตรทรงสำคัญเวลา ณ บัดนี้เถิด”

เมื่อเสด็จจากไปไม่นาน พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระองค์นี้ถูกขุดเสียแล้ว พระราชาพระองค์นี้ถูกขจัดเสียแล้ว หากท้าวเธอจักไม่ปลงพระชนม์ชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมไซร้ ธรรมจักษุ ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน จักเกิดขึ้นแก่ท้าวเธอ ณ ที่ประทับนี้ทีเดียว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำเป็นไวยากรณ์นี้แล้ว. ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล”

ทูลถามเนื้อที่ไม่ควรบริโภค และควรบริโภค

ทูลถามเนื้อที่ไม่ควรบริโภค และควรบริโภค
ทูลถามเนื้อที่ไม่ควรบริโภค และควรบริโภค

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจจ์ เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น หมอชีวกโกมารภัจจ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำนี้มาว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่านั้นชื่อว่า กล่าวตรงกับที่พระผู้มีพระภาคตรัส ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำอันไม่เป็นจริง ชื่อว่ายืนยันธรรมอันสมควรแก่ธรรม การกล่าวและกล่าวตามที่ชอบธรรม จะไม่ถึงข้อติเตียนละหรือ?

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ดูกรชีวก ชนใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ก็ยังเสวยเนื้อสัตว์ที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ชนเหล่านั้นจะชื่อว่า กล่าวตรงกับที่เรากล่าวหามิได้ ชื่อว่า กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง

“ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่า ไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ

“ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ นี้แล

“ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ.

“ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล.

ทรงแสดงเหตุที่ตรัสตอบปฏิเสธว่า คนเหล่านั้นกล่าวไม่ตรงกับที่พระองค์ตรัสไว้เรียกว่า เขากล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง เพราะได้ตรัสไว้ว่า เนื้อที่ไม่ควรบริโภคต้องประกอบด้วยเหตุ ๓ ประการ (เรียกว่าเนื้อเป็นอกัปปิยะ) คือ

  1. เนื้อที่ตนเห็น คือ มีการเห็นด้วยตาว่าผู้อื่นฆ่ามาเพื่อทำเป็นอาหารถวายเรา
  2. เนื้อที่ตนได้ยิน คือ มีการฟังเสียงด้วยหูว่าผู้อื่นฆ่า และนำเนื้อนั้นทำอาหารมาถวายเรา
  3. เนื้อที่ตนรังเกียจ คือ มิได้เห็นด้วยตาหรือได้ยินด้วยหู แต่เกิดความสงสัยว่า เขาอาจจะฆ่าแล้วทำเป็นอาหารมาถวาย

ส่วนเนื้อที่ควรบริโภคต้องประกอบด้วยเหตุ ๓ ประการ (เรียกว่าเนื้อเป็นกัปปิยะ) คือ

  1. เนื้อที่ตนไม่เห็น คือ ไม่เห็นด้วยตาว่าผู้อื่นฆ่ามาเพื่อทำเป็นอาหารถวายเรา
  2. เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน คือ ไม่ได้ฟังเสียงด้วยหูว่าผู้อื่นฆ่า และนำเนื้อนั้นทำอาหารมาถวายเรา
  3. เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ คือ มิได้เห็นด้วยตาหรือได้ยินด้วยหู มิได้เกิดความสงสัยว่า เขาอาจจะฆ่าแล้วทำเป็นอาหารมาถวาย

มูลเหตุเมื่อพระภิกษุเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน มีคนรับบาตรไปแล้วใส่อาหารมีเนื้อปลามา ภิกษุเกิดสงสัยในขณะนั้นว่า เขาทำเพื่อภิกษุทั้งหลายโดยเฉพาะล่ะหรือ? สงสัยอย่างนี้แล้วภิกษุจะรับอาหารนั้นมาก็ไม่ควร ถ้าคนเขาถามว่า ทำไมไม่รับ? ตอบไปว่า สงสัย หากเขาชี้แจงฟังได้ก็พึงรับได้ แต่ถ้าชาวบ้านปรุงเนื้อด้วยตั้งใจถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใดรู้ อาหารนั้นก็ไม่ควรแก่ภิกษุที่รู้ว่าเขาทำเจาะจง ส่วนภิกษุผู้ไม่รู้จะรับแล้วฉันก็ควร (ดู ม.อ.๒/๑/๑๐๖-๑๑๑)

ลักษณะการฉันอาหารที่ไม่มีโทษ

แล้วทรงแสดงวิธีแผ่เมตตา (เมตตาอัปมัญญา) ของภิกษุทั้งหลาย เพื่อความไม่เบียดเบียน ไม่ได้รับโทษจากการฉันเนื้อว่า

“ดูกรชีวก ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยบ้านหรือนิคมแห่งใดแห่งหนึ่งอยู่ เธอมีใจประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่ง อยู่ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่าโดยความมีตนทั่วไปในทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวรไม่มีความเบียดเบียนอยู่ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี เข้าไปหาเธอแล้วนิมนต์ด้วยภัต เพื่อให้ฉันในวันรุ่งขึ้น

“ดูกรชีวก เมื่อภิกษุหวังอยู่ ก็รับนิมนต์ พอล่วงราตรีนั้นไป เวลาเช้า ภิกษุนั้นนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของคฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดี แล้วนั่งลงบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ คฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดีนั้น อังคาสเธอด้วยบิณฑบาตอันประณีต ความดำริว่า ดีหนอ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้นี้ อังคาสเราอยู่ด้วยบิณฑบาตอันประณีต ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เธอ แม้ความดำริว่า

“โอหนอ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้นี้ พึงอังคาสเราด้วยบิณฑบาตอันประณีตเช่นนี้ แม้ต่อไป ดังนี้ ก็ไม่มีแก่เธอ เธอไม่กำหนด ไม่สยบ ไม่รีบกลืนบิณฑบาตนั้นมีปกติเห็นโทษ มีปัญญา เครื่องถอนตน บริโภคอยู่

“ดูกรชีวก ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนว่า ในสมัยนั้น ภิกษุนั้นย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตน เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น หรือเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้างหรือ?”

“ไม่เป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าข้า”

“ดูกรชีวก สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่าฉันอาหารอันไม่มีโทษมิใช่หรือ?”

“อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับมาว่า พรหมมีปกติอยู่ด้วยเมตตา คำนั้นเป็นแต่ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับมา คำนี้พระผู้มีพระภาคเป็นองค์พยาน ปรากฏแล้ว ด้วยว่า พระผู้มีพระภาคทรงมีปกติอยู่ด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”

“ดูกรชีวก บุคคลมีความพยาบาท เพราะยังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่ ราคะ โทสะ โมหะนั้น ตถาคตละแล้ว มีมูลอันขาดแล้ว เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา”

“ดูกรชีวก ถ้าแลท่านกล่าวหมายเอาการละราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้นนี้เราอนุญาตการกล่าวเช่นนั้นแก่ท่าน”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ากล่าวหมายเอาการละราคะ โทสะ และโมหะเป็นต้นนี้”

แม้ภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยกรุณา..มุทิตา..อุเบกขา  ก็มีการแผ่ไปเหมือนกับการแผ่เมตตานั้น ก็ชื่อว่าผู้ไม่คิดเบียดเบียนตนหรือเบียดเบียนผู้อื่นเช่นกัน

ทรงแสดงโทษของการฆ่าสัตว์ ๕ ประการ

จากนั้น ตรัสโทษของการฆ่าสัตว์เพื่อถวายพระตถาคต หรือจะถวายใครก็ตามย่อมประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญเป็นอันมากเช่นเดียวกัน คือ

  1. ประสบบาปตั้งแต่วาจาสั่งให้เขาไปนำสัตว์นั้นมา
  2. สัตว์ที่ถูกผูกคอนำมา ย่อมประสบทุกข์โทมนัส
  3. ประสบบาปเมื่อสั่งด้วยวาจาให้ฆ่า (หรือฆ่าด้วยตัวเองก็บาป)
  4. เมื่อสัตว์กำลับถูกฆ่า สัตว์ย่อมเป็นทุกข์เจ็บปวดทรมาน
  5. เมื่อถวายหมายให้พระตถาคต หรือสาวกของตถาคตยินดีในเนื้ออันเป็นอกัปปิยะนั้น ก็ย่อมประสบบาปไม่ใช่บุญ

เมื่อตรัสจบแล้ว หมอชีวกกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ไม่เคยมี ภิกษุทั้งหลายย่อมฉันอาหารอันไม่มีโทษหนอ” แล้วชื่นชมพระธรรมเทศนา และประกาศตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต (ม.ม.ข้อ๕๖-๖๑)

ทูลถามถึงคุณสมบัติของอุบาสก

ครั้งเมื่อหมอชีวกโกมารภัจจ์เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่สวนอัมพวัน กราบทูลถามถึงเหตุที่ทำให้ได้เป็นอุบาสก พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า “เมื่อใดบุคคลถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ก็ชื่อว่าเป็นอุบาสก และทูลถามว่าด้วยเหตุเพียงเท่าไหร่อุบาสกจึงจะชื่อว่าเป็นผู้มีศีล? ทรงตรัสตอบว่า เพราะเว้นจากปาณาติบาต เป็นต้น

ต่อมา พระพุทธองค์ทรงยกย่อง ชีวกโกมารภัจจ์ ว่าเป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกผู้เลื่อมใสในบุคคล

คัดลอกจากสารานุกรม พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน (วินย. ๕/๑๒๘-๑๓๘;วินย. ๔/๑๐๑; ธ.อ. ๑/๒/๒/๓๖๕-๓๖๘;วินย. ๗/๗๘-๗๙;องฺ.อ. ๑/๗๗-๗๙; ม.ม. ๑๓/๕๖-๕๙)

แสดงความคิดเห็น
เว็บไซต์พุทธะ
คำว่า “พุทธะ” นอกจากจะหมายถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังหมายถึง การเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน โดยการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย

แสดงความเห็น