ครั้นถึงวันเพ็ญเดือน ๘ พระบรมศาสดาพร้อมเหล่าภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปบิณฑบาตภายในนครสาวัตถี ในเช้าวันนั้น นายคัณฑะราชบุรุษผู้มีหน้าที่ดูแลพระราชอุทยานพบมะม่วงทวายผลหนึ่งกำลังสุกงอมดีและมดแดงทำรังหุ้มอยู่ จึงสอยลงมาทำความสะอาดประสงค์จะนำไปถวายพระราชา ครั้นพบพระพุทธองค์ขณะเสด็จบิณฑบาตบังเกิดความเลื่อมใส ดำริว่าหากนำมะม่วงผลนี้ไปถวายพระราชาคงได้รางวัลไม่เกิน ๑๖ กหาปณะ ควรน้อมนำถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเป็นผลาอานิสงส์เกิดประโยชน์สุขแก่เราสิ้นกาลนาน
พระบรมศาสดาทรงรับผลมะม่วงจากนายคัณฑะด้วยบาตรแล้วประทับ ณ ที่นั้น พระอานนท์นำผลมะม่วงไปคั้นเป็นปานะ น้ำผลไม้สำหรับดื่ม เครื่องดื่ม สำหรับถวายพระภิกษุมี ๘ อย่างคือ น้ำผลมะม่วง น้ำผลหว้า น้ำกล้วยมีเมล็ด น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด น้ำผลมะซาง น้ำผลจันทน์หรือองุ่น น้ำเหง้าบัว น้ำผลมะปรางหรือลิ้นจี่ ถวาย
พระพุทธองค์เสวยแล้วจึงสั่งให้นายคัณฑะนำเมล็ดมะม่วงลงปลูก พลันต้นมะม่วงได้เจริญขึ้นเป็นอัศจรรย์มีกิ่งใหญ่ถึง ๕ กิ่ง และแต่ละกิ่งยื่นยาวออกไปถึง ๕๐ ศอกล้วนติดดอกออกผลทั้งดิบและสุกแลอร่ามไปทั้งต้น นายคัณฑะเห็นดังนั้นก็บังเกิดความปีติยินดีเก็บมะม่วงถวายพระสงฆ์โดยทั่วถึง
เหล่านักเลงทั้งหลายเมื่อเก็บผลมะม่วงที่หล่นอยู่เกลื่อนกลาดมากินเห็นว่ามีรสอร่อยจึงบังเกิดความเคียดแค้น ช่วยกันเอาเมล็ดมะม่วงขว้างปาพวกเดียรถีย์จนพากันเตลิดหนีไปหมดสิ้น ในขณะนั้นวาตวลาหกเทพบุตรผู้เป็นเจ้าแห่งลมได้บันดาลให้เกิดลมมหาวาตพายุพัดมณฑปของพวกเดียรถีย์กระจัดกระจายทลายลง ส่วนต้นมะม่วงที่เกิดจากพุทธปาฏิหาริย์นั้นก็ได้นามว่า ต้นคัณฑามพฤกษ์ ตามชื่อของนายคัณฑะผู้ปลูกและเป็นสถานที่สำหรับพระบรมศาสดาใช้แสดงยมกปาฏิหาริย์