ธรรมบท แปลตรงตัวว่า ทางแห่งความดี (The Path of Virtue) หัวใจของ นิทานธรรมบท อยู่ที่การทำความดีละหลีกความชั่ว แต่การทำความดีเพื่อละความชั่วนั้น ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าความดีคืออะไร และความชั่วเป็นอย่างไร ดังที่ วศิน อินทสระ ได้แสดงความเห็นไว้ว่า
“บุคคลแม้ปรารถนาความเป็นคนดี แต่เมื่อไม่รู้จักทางแห่งความดี ก็ไม่อาจให้ความปรารถนานั้นเต็มบริบูรณ์ได้ ทำนองเดียวกันบุคคลแม้ต้องการหลีกความชั่ว แต่เมื่อไม่รู้จักความชั่ว ไม่เห็นโทษของความชั่ว เขาจะละเว้นความชั่วได้อย่างไร”[1]
ความดีทำได้ไม่ยากถ้าเราเรียนรู้วิธีทำความดี และรู้จักจุดพอดีว่าอยู่ที่ใด[2] ดังที่พระพุทธอุทานว่า “ความดีคนดีทำได้ง่าย ความดีคนชั่วทำได้ยาก ความชั่วคนชั่วทำได้ง่าย ความชั่วพระอริยเจ้าทั้งหลายทำได้ยาก ฯ”[3] ดังนั้นถ้าฝึกตนให้เดินอยู่บนถนนแห่งความดี เรื่องของการทำความดีหลีกหนีความชั่วก็ไม่ใช่เรื่องยาก
นิทานธรรมบท ของพระพุทธโฆษาจารย์ มีนิทานประกอบหมวดธรรมทั้ง ๒๖ หมวด จำนวน ๓๐๒ เรื่อง นิทานทุกเรื่องแสดงถึงตัวอย่างของความดี และ ความชั่วควบคู่กันไป เพื่อให้ผู้ศึกษาได้มองเห็นประโยชน์อนันต์ของการทำความดี และโทษมหันต์ของการทำความชั่ว โดยการชี้ให้เห็นหนทางแห่งความดี และหลุมพรางแห่งความชั่วไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เห็นความแตกต่างของความดีและความชั่วอย่างชัดเจน เช่น หมวดคนพาลและหมวดบัณฑิต หรือนำเสนอหมวดอื่น ๆ ที่สามารถพัฒนาตนไปสู่หนทางของความหลุดพ้น เช่น หมวดที่ว่าด้วยการฝึกจิต หมวดที่ว่าด้วยมรรค หมวดที่ว่าด้วยพระอรหันต์ เป็นต้น
นิทานธรรมบท จึงเป็นประโยชน์ต่อบุคคลในวงกว้างทั้ง นักบวช พระราชา นักการเมือง นักการปกครอง จนกระทั่งถึงผู้ครองเรือนทั่วไป วิธีการสื่อนิทานธรรมบทก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจใคร่ศึกษา เนื่องจากเนื้อเรื่องหลากหลายชวนติดตาม ทำให้ผู้อ่านสนุกสนานเพลิดเพลิน ทั้งยังแสดงข้อคิดเป็นสุภาษิตที่ไพเราะลึกซึ้งกินใจ นับว่านิทานธรรมบทเปี่ยมด้วยอรรถและรสอันงดงาม
ที่มาของธรรมบท
อรรถกถาธรรมบทเกิดจากผลงานของพระพุทธโฆษาจารย์และพระเถระอื่น ๆ ในพุทธศตวรรษที่ ๕ ตามประวัติซึ่งปรากฏในคัมภีร์มหาวงศ์และสัทธัมมสังคหะ ได้บันทึกไว้ว่าอรรถกถาเดิมนั้นพระมหินทเถระโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้เป็นผู้นำมาสู่ประเทศศรีลังกา และได้ทำการแปลสู่ภาษาสิงหล อรรถกถาที่มีอยู่ในอินเดียได้สูญหายหรือมีอยู่แต่ไม่สมบูรณ์ ท่านพระเรวตะได้แนะนำให้พระพุทธโฆษาจารย์เดินทางไปประเทศศรีลังกา เพื่อทำการศึกษา และแปลกลับสู่ภาษามคธดังเดิม[4]
อรรถกถาธรรมบทเป็นคัมภีร์อธิบายความพระไตรปิฎกหมวดหนึ่ง ปรากฎอยู่ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เล่มที่ ๒๕ พระพุทธองค์ทรงแสดงเป็นคำประพันธ์เรียกว่าคาถา มี ๔๒๓ คาถา มีนิทานประกอบจำนวน ๓๐๒ เรื่อง เรียกว่า นิทานธรรมบท[5] อรรถกถาธรรมบทเป็นวรรณกรรมบาลี ที่พระพุทธโฆษะ ปราชญ์ชาวอินเดียแปลจากภาษาสิงหลโบราณ มีโครงสร้างที่เขียนไว้อย่างเป็นระบบ มีแบบแผนเป็นภาษากวี แปลจากภาษาสิงหลเป็นตันติภาษา (ตนฺติ ภาสํ มโนรม) คือภาษาบาลี
ท่านผู้รจนา อรรถาธิบายหลักธรรม ในคัมภีร์ธัมมบท ขุททกนิกาย พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ในเล่มที่ ๒๕ มีเนื้อความไพเราะ สั้น คมคาย เหมาะจะนำไปประยุกต์เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ธัมมปทัฏฐกถาแต่งขึ้นยุคหลังวรรณคดีพระไตรปิฎก (Post-Canonical Literature) จัดไว้ในกลุ่มเดียวกันกับมิลินทปัญหา วรรณกรรมของพระพุทธทัตตะ วรรณกรรมของพระพุทธโฆษะ และวรรณกรรมของพระธรรมปาละ ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่เขียนขึ้นตามหลักวรรณกรรมไวยากรณ์บาลี[6] ลักษณะการเล่าเรื่องแต่ละเรื่องจะมีเอกลักษณ์ประจำไปตลอดทุกๆเรื่อง แต่ละเรื่องประกอบด้วยหลักธรรมคติธรรม และพุทธวิธีการสอนอันเป็นหัวใจของพุทธจริยศาสตร์ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างครอบคลุม เหมาะแก่คนทุกเพศทุกวัย ง่ายต่อการเข้าใจ มีเนื้อความที่ไม่ลึกลับซับซ้อน
อรรถกถาธรรมบท มี ๔ สำนวน (๔ ฉบับ) สำนวนที่ ๑ เป็นสำนวนสิงหลโบราณ สำนวนที่ ๒ เป็นสำนวนที่พระพุทธโฆษะแปลจากสำนวนที่ ๑ คือภาษาสิงหลโบราณตันติภาษา สำนวนที่ ๓ พระธรรมเสนมหาเถร แปลมาจากสำนวนที่ ๒ เป็นภาษาสิงหลชื่อว่าสัทธรรมรัตนาวลี ในศตวรรษที่ ๑๓ และสำนวนที่ ๔ ปราชญ์นามว่า จุลละพุทธโฆษะ เขียนขึ้น อาศัยเนื้อหาสำนวนที่ ๓ เขียนอีกส่วนหนึ่งในลังกา[7]
อรรถกถาธรรมบทได้มาปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในประเทศไทย ที่พอมีหลักฐานประมาณ พ.ศ. ๒๐๖๐ คือ เมี่อพระศิริมังคลาจารย์รจนาคัมภีร์มังคลัตถทีปนี ท่านได้อ้างขอความจากคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท ได้รับการจารจารึกเป็นอักษรล้านนาในใบลานบ้าง เป็นอักษรขอมบ้างในกาลต่อ ๆ มา จนมาได้รับการคัดลอกเปลี่ยนจากอักษรขอมเป็นอักษรไทย จัดพิมพ์เป็นเล่มหนังสือตามที่ปรากฏในสถิติการพิมพ์ประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๙ เป็นฉบับของมหามกุฎราชวิทยาลัยและได้รับการจัดพิมพ์เรื่อยมา[8]
สุภาพรรณ ณ บางช้าง กล่าวว่า “อฏฐกถา มีความหมายเดียวกันกับคำว่า อตฺถกถา แปลว่า การอธิบายความหมาย (exposition of the sense, explanation commentary) ไทยเรานิยมเขียนว่า อรรถกถา หมายถึงหนังสือ ๒ ประเภท
- แต่เดิมหมายถึงหนังสือบาลีเรื่องใดก็ตาม ที่แต่งหลังยุคพระไตรปิฎก ได้แก่คัมภีร์ที่อธิบายความหมายของคำและความในพระไตรปิฎก คัมภีร์มิลินทปัญหา คัมภีร์มหาวงส์ เป็นต้น ส่วนหนังสือที่อธิบายหนังสือเหล่านี้อีกทีเรียกว่า ฎีกา ดังนั้นหนังสือที่อธิบายมิลินทปัญหา จึงเรียกว่ามิลินทปัญหาฎีกา หนังสือที่อธิบายมหาวงส์ จึงเรียกว่า มหาวงส์ฎีกา และเพื่อจะแยกประเภทงานที่เขียนอธิบายความหมายของคำ และความในพระไตรปิฎกจากงานอื่นพระอรรถกถาจารย์ มักจะเรียกงานของท่านว่า “สังวรรณา” แปลว่า การบรรยายพร้อม
- ต่อมา คำว่าอัฏฐกถา หรือ อรรถกถา ได้มีความหมายแคบลง คือ หมายเฉพาะหนังสือที่อธิบายความหมายของคำ และความในพระไตรปิฎกเท่านั้น และได้เรียกชื่อหนังสืออื่น ๆ ที่แต่งหลังยุคพระไตรปิฏกเป็นแบบต่างๆ ตามลักษณะหนังสือ เช่น ประเภทปกรณ์พิเศษ ประเภทพงศาวดารประเภทสัททาวิเศษ เป็นต้น[9]
อรรถกถาธรรมบท หมายถึง อรรถกถาอธิบายความในธรรมบท แบ่งเป็นตอนเรียกวรรค มี ๒๖ วรรค ดังนี้
ตารางแสดงหมวดธรรมในอรรถกถาธรรมบท
วรรคที่ | ชื่อวรรค | ว่าด้วยเรื่อง | จำนวนเรื่อง | จำนวนคาถา |
---|---|---|---|---|
๑. | ยมกวรรค | หมวดว่าด้วยธรรมเป็นคู่กัน | ๑๔ | ๒๐ |
๒. | อัปมาทวรรค | หมวดว่าด้วยความไม่ประมาท | ๙ | ๑๒ |
๓. | จิตตวรรค | หมวดว่าด้วยการฝึกจิต | ๙ | ๑๑ |
๔. | ปุปผวรรค | หมวดว่าด้วยดอกไม้ | ๑๒ | ๑๖ |
๕. | พาลวรรค | หมวดว่าด้วยคนพาล | ๑๕ | ๑๖ |
๖. | บัณฑิตวรรค | หมวดว่าด้วยบัณฑิต | ๑๑ | ๑๔ |
๗. | อรหันตวรรค | หมวดว่าด้วยพระอรหันต์ | ๑๐ | ๑๐ |
๘. | สหัสวรรค | หมวดว่าด้วยหนึ่งในพัน | ๑๔ | ๑๖ |
๙. | ปาปวรรค | หมวดว่าด้วยบาป | ๑๒ | ๑๓ |
๑๐. | ทัณฑวรรค | หมวดว่าด้วยการลงฑัณฑ์ | ๑๑ | ๑๗ |
๑๑. | ชราวรรค | หมวดว่าด้วยความชรา | ๙ | ๑๑ |
๑๒. | อัตตวรรค | หมวดว่าด้วยคน | ๑๐ | ๑๐ |
๑๓. | โลกวรรค | หมวดว่าด้วยเรื่องโลก | ๑๑ | ๑๒ |
๑๔. | พุทธวรรค | หมวดว่าด้วยเรื่องพระพุทธเจ้า | ๙ | ๑๘ |
๑๕. | สุขวรรค | หมวดว่าด้วยความสุข | ๘ | ๑๒ |
๑๖. | ปิยวรรค | หมวดว่าด้วยสิ่งที่เป็นที่รัก | ๙ | ๑๒ |
๑๗. | โกธวรรค | หมวดว่าด้วยความโกรธ | ๘ | ๑๔ |
๑๘. | มลวรรค | หมวดว่าด้วยมลทินทางใจ | ๑๒ | ๒๑ |
๑๙. | ธัมมัฏฐวรรค | หมวดว่าด้วยผู้ตั้งอยู่ในธรรม | ๑๐ | ๑๗ |
๒๐. | มัคควรรค | หมวดว่าด้วยมรรค | ๑๐ | ๑๗ |
๒๑. | ปกิณณกวรรค | หมวดว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ด | ๙ | ๑๖ |
๒๒. | นิรยวรรค | หมวดว่าด้วยคนทำกรรมชั่ว | ๙ | ๑๔ |
๒๓. | นาควรรค | หมวดว่าด้วยช้าง | ๘ | ๑๔ |
๒๔. | ตัณหาวรรค | หมวดว่าด้วยตัณหา | ๑๒ | ๒๖ |
๒๕. | ภิกขุวรรค | หมวดว่าด้วยภิกษุ | ๓๙ | ๒๓ |
๒๖. | พราหมณวรรค | หมวดว่าด้วยพราหมณ์ | ๓๙ | ๔๑ |
รวม | ๓๐๒ | ๔๒๓ |
ความเป็นมาของอรรถกถาธรรมบทนั้น หากยอมรับว่าอรรถกถาได้มีมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล อรรถกถาก็เป็นคัมภีร์ร่วมยุคเดียวกับพระไตรปิฏก แต่ถ้ายึดตามประวัติของวรรณคดีบาลีอรรถกถาก็เป็นอีกยุคหนึ่งที่สืบต่อจากยุคพระไตรปิฎก[10]
สรุปความว่าธรรมบทฉบับเดิม เป็นพุทธภาษิตล้วน ๆ อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ระหว่างหน้า ๑๕ – ๗๑ รวม ๕๖ หน้า แบ่งเป็น ๒๖ วรรค ไม่มีนิทานและคำอธิบายใด ๆ แต่อรรถกถาธรรมบทของพระพุทธโฆษาจารย์มีนิทานประกอบพุทธภาษิต เรื่องเหล่านี้ท่านรวบรวมมาจากพระไตรปิฎกบ้างจากอรรถกถาอื่นๆบ้าง แล้วนำมารจนาในรูปแบบของธรรมนิทาน
ธรรมบท (ธัมมปทะ) สืบทอดมาด้วยการท่อง ดังที่ระบุว่า พระอนุรุทธเถระท่องธรรมบท พระมหาติสสเถรกล่าวธรรมบท เป็นคัมภีร์อรรถกถา คือ ธัมมปทัฏฐกถา ส่วนหนังสือที่ท่านแต่งอรรถาธิบายธรรมบท เป็นคัมภีร์อรรถกถา คือ ธัมมปทัฏฐกถา มีเนื้อหาครอบคลุมคำสอนสำคัญของพระพุทธเจ้าได้แก่ ความไม่ประมาท ความมักน้อย เรื่องทาน การรักษาศีล การรักษาอุโบสถ ความมีจิตเด็ดเดี่ยวตั้งมั่น และการครองชีพด้วยปัญญา ผู้ศึกษาธรรมบท หรือ ธัมมปทัฏฐกถา เหมือนกับได้ศึกษาคำสอนอันเป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนา[11]
คัมภีร์ธรรมบทได้รับความนิยมอย่างมากเพราะว่ามีความสมบูรณ์พร้อม ทั้งอรรถและรสอย่างน้อย ๓ ประการ คือ
- สาระธรรมที่สั้น เรียบง่าย ชัดเจน ลึกซึ้ง สะท้อนหลักพุทธธรรมที่แท้ ช่วยให้จดจำได้ง่าย และสามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้
- แม้ข้อธรรมสั้น เรียบง่าย แต่ทว่าลึกซึ้งถึงแก่นพุทธธรรม ได้นำมาจัดรวมเป็นหมวดหมู่อย่างเหมาะสม ทำให้ผู้สนใจสามารถเลือกอ่านได้ตามความสนใจ
- วิธีการสอนธรรมที่เด่นที่สุด คือ การใช้บทอุปมาอุปไมยอย่างคมคายชัดเจน[12]
อรรถกถาฉบับที่แปลเป็นภาษาบาลีโดยพระพุทธโฆษาจารย์ ได้รวบรวมข้อมูลสำคัญ ๆ เอาไว้หลายเรื่อง คือ ข้อมูลทางด้านสังคม และศาสนาที่คัดมาจากอรรถกถาภาษาสิงหลต้นฉบับเดิม รวมทั้ง ข้อมูลใหม่ที่เขียนเพิ่มเติมขึ้น อันเป็นเรื่องราวในช่วงศตวรรษที่ ๓ ก่อนคริสต์ศักราช จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๕ นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นร่วมสมัยเดียวกับพระพุทธโฆษะ แทรกไว้อีกด้วย ดังนั้น อรรถกถาภาษาบาลีเล่มนี้ จึงเป็นหลักฐานอันทรงคุณค่าอย่างยิ่ง[13]
อรรถกถาธรรมบทนั้น มาจากพุทธพจน์ที่เล่ากันมาเป็นมุขปาฐะ เดิมเป็นภาษามคธที่พระสังคีติกาจารย์ได้ยกขึ้นทำการสังคายนาถึง ๓ ครั้ง ต่อมาพระมหามหินทเถระผู้เป็นโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราชได้นำอรรถกถาดังกล่าวจากชมพูทวีป มาเผยแผ่ที่เกาะสิงหลหรือประเทศศรีลังกา ภายหลังพระมหาเถระชาวสิงหลได้แปลอรรถกถานั้นเป็นภาษาสิงหล[14] ต่อมาพระพุทธโฆษาจารย์ได้แปลหรือแต่งอรรถกาขึ้นมาจากภาษาสิงหลที่บันทึกไว้
ปณามคาถา (คำบูชาพระรัตนตรัย, คำไหว้ครู) ทำให้เราทราบว่าธัมมปทัฏฐกถาฉบับเดิมเป็นภาษาสิงหลโบราณ พระพุทธโฆสะปราชญ์อินเดียแปลเป็นตันติภาษาหรือภาษาบาลี ตามคำเชิญของพระกุมารกัสสปะ นิคมวจนะ (คำสุดท้าย) ระบุว่าพระพุทธโฆสะเป็นผู้แปลธัมมปทัฏฐกถา ผู้เชี่ยวชาญคัมภีร์พระพุทธศาสนามองว่าพระพุทธโฆสะเป็นผู้แปลธัมมปทัฏฐกถา เรื่องนี้มี ๒ มติ มติหนึ่ง เชื่อว่าผู้แต่งธัมมปทัฏฐกถาคือพระพุทธโฆสะ มติหนึ่ง ว่า ผู้แต่งธัมมปทัฏฐกถา ไม่ใช่พระพุทธโฆษะ
มติที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อ ๒ มตินี้ คือ มติของพระปัญญานันทะ (Pannananda) และมติของ เอ็ม. วินเดอร์นิทซ์ (M. Winternitz) ปราชญ์ชาวเยอรมัน[15] ทั้งสองท่านนี้ อยู่ฝั่งปราชญ์ตะวันออกมีมติว่า ผู้แต่งธัมมปทัฏฐกถาคือพระพุทธโฆสะ แต่ปราชญ์ตะวันตกแย้งมตินี้ ส่วน บีซี ลอว์ (B.C. Law) ปราชญ์อินเดียลงมติว่า พระพุทธโฆสะเป็นผู้แต่งอรรถกถาธรรมบท[16] ชาวพุทธยอมรับมติดังกล่าว เพราะปราชญ์เหล่านี้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และยอมรับกันในหมู่นักศึกษาชาวพุทธ[17]
พระมหาทรรศน์ คุณทสฺสี (โพนดวงกรณ์) ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ผู้แต่งอรรถกถาธรรมบทไว้ว่า
“พระพุทธโฆษาจารย์เพียงดำเนินการแปลอรรถกถาที่มีอยู่ ท่านมิได้รจนานิทานแต่ละเรื่องนั้นล้วนเป็นอุปปัตติเหตุ คือ เหตุเกิดพระสูตรทั้งนั้น อรรถกถานั้นท่านจำสืบต่อกันมา (ปรมฺปราภตา) จนถึงสังคายนาครั้งที่ ๓ แล้วพระมหินทเถระนำมาเผยแพร่ที่ศรีลังกา ต่อมาพระสงฆ์ลังกาแปลเป็นภาษาสิงหล”[18]
รังษี สุทนต์ กล่าวว่า อรรถกถาทั้งหมดที่อธิบายพระไตรปิฎก มีมาแต่สมัยพุทธกาลแล้วมาเพิ่มเติมอีกบางส่วน อรรถกถาที่พระสังคีติกาจารย์ร้อยกรองไว้ เมื่อคราวปฐมสังคายนา คือ อรรถกถาที่มีมาแต่สมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระชนม์อยู่[19] หมายความว่า การอธิบายพระไตรปิฎกมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล สมัยที่พระสาวกจำสืบต่อพระธรรมวินัยด้วยวิธีมุขปาฐะคือทรงจำด้วยใจ สั่งสอนสืบต่อบอกกันด้วยปากเปล่านั้น พระสาวกผู้จำพระไตรปิฎกจะต้องจำอรรถกถาให้ได้ด้วย[20] ข้อความนี้ชี้ให้เห็นว่า สมัยทรงจำแบบมุขปาฐะพระไตรปิฎกกับอรรถกถาอยู่รวมกัน คือทรงจำอยู่ในบุคคลเดียวกันมาแยกจากกันสมัยเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร พระไตรปิฎกเขียนแยกไว้ส่วนหนึ่ง อรรถกถาเขียนแยกไว้ส่วนหนึ่ง พอเมื่อคราวที่พระพุทธโฆษาจารย์มาแปลอรรถกถาป็นภาษามคธ ก็เลยตีตราให้ท่านว่าเป็นผู้รจนาอรรถกถา[21]
กรณีความเห็นของนักวิชาการต่อผู้รจนาอรรถกถาธรรมบทนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่า ต้นเค้าของอรรถกถาธรรมบทมาจากพุทธพจน์ที่เป็นมุขปาฐะที่เล่าและจำต่อ ๆ กันมา แล้วนำมาทำสังคายนาโดยพระสังคีติกาจารย์ หลังจากที่พระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว จึงเชื่อได้ว่าหลักธรรมในอรรถกถานั้นมาจากพุทธพจน์ของพระพุทธองค์จริง ภายหลังได้นำอรรถกถานั้นมาบันทึกไว้เป็นภาษาสิงหล แล้วนำมาแปลหรือรจนาโดยพระพุทธโฆษาจารย์ การผ่านขั้นตอนนี้เองทำให้เกิดข้อโต้แย้งว่า พระพุทธโฆษาจารย์เป็นเพียงผู้แปล หรือ นำอรรถกถานั้นมาแต่งเติมขึ้นใหม่จากเค้าเดิม ซึ่งทั้งสองมติต่างก็มีหลักฐานสนับสนุนมุมมองของตน จึงยากที่บ่งชี้ได้ว่ามติใดเป็นมติที่ถูกต้อง กรณีนี้ผู้เขียนมองว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่าการที่พระพุทธโฆษาจารย์จะเป็นผู้รจนาอรรถกถาธรรมบทหรือไม่ ก็คือ อรรถกถาธรรมบทมีที่มาจากพุทธพจน์ เป็นหลักธรรมอันประเสริฐของพระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดาของพระพุทธศาสนา
จุดเด่นของนิทานธรรมบทนั้น คือ การสอนธรรมอันว่าด้วยเรื่องของพุทธจริยศาสตร์ คือการสอนให้ทำความดีด้วยธรรมนิทาน
[1] วศิน อินทสระ, ธรรมบท ทางแห่งความดี,พิมพ์ครั้งที่ ๘, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เม็ดทราย, ๒๕๕๕), หน้าคำนำในการพิมพ์ครั้งที่ ๑.
[2] เรื่องเดียวกัน, หน้า คำนำในการพิมพ์ครั้งที่ ๓.
[3] อง.จตุกฺก.อ.(ไทย) ๒๕/๔๘/๒๗๕.
[4] พระมหาทวี มหาปญฺโญ, “การศึกษาวิเคราะห์พุทธวิธีการสอนในธัมมปทัฏฐกถา”,วิทยานิพนธ์ ศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหามกฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๕),หน้า ๑๖.
[5] พระมหาทรรศน์ คฺณทสฺสี (โพนดวงแก้ว), “การศึกษาเปรียบเทียบพุทธวิธีการสอนในอรรถกถาธรรมบทกับกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ”, วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๑๒-๑๕.
[6] Anomadashi Barua อ้างใน สมิทธิพล เนตรนิมิตร, อัญมณีล้ำค่าในอรรถกถาธรรมบท, (กรุงเทพมหานคร : โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮาส์ จำกัด, ๒๕๕๕), หน้า ๖.
[7] เรื่องเดียวกัน,หน้า ๖.
[8] รังษี สุทนต์ อ้างใน พระมหาทรรศน์ คฺณทสฺสี (โพนดวงแก้ว) ,“การศึกษาเปรียบเทียบพุทธวิธีการสอนในอรรถกถาธรรมบทกับกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ”,วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร์มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๒๒.
[9] สุภาพรรณ ณ บางช้าง, ประวัติวรรณคดีบาลีในอินเดียและลังกา,หน้า ๒๗๑.
[10] กรมการศาสนา, ประวัติพระพุทธศาสนาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ภาค ๑,(กรุงเทพมหานคร: กรมศาสนา,๒๕๒๕), หน้า ๒๖๕-๒๖๗.
[11] สมิทธิพล เนตรนิมิตร,อัญมณีล้ำค่าในอรรถกถาธรรมบท, หน้า ๖๗.
[12] สุภาพรรณ ณ บางช้าง, ประวัติวรรณคดีบาลีในอินเดียและลังกา,หน้า ๘๐–๘๒.
[13] ปิยนาถ (นิโครธา) บุนนาค, ประวัติศาสตร์และอารยธรรมของศรีลังกา, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๔) หน้า ๖๔-๖๕.
[14] พระสารีบุตรเถระ ชาวลังกา, พระคัมภีร์สารัตถทีปนี (แปล) ภาค ๑,แปลโดย นายสิริ เพ็ชรชัย ป.ธ. ๙., (กรุงเทพมหานคร : หจก. ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๔๒), หน้า ๓๒-๓๓.
[15] สมิทธิพล เนตรนิมิตร,อัญมณีล้ำค่าในอรรถกถาธรรมบท, หน้า ๖๗.
[16] B.C. Law, The life and work of Buddhaghaghosa 2nd, (Delhi : Pilgrims Book, 1999), p. 78.
[17] สมิทธิพล เนตรนิมิตร, อัญมณีล้ำค่าในอรรถกถาธรรมบท, หน้า ๖๘.
[18] พระมหาทรรศน์ คฺณทสฺสี (โพนดวงแก้ว), “การศึกษาเปรียบเทียบพุทธวิธีการสอนในอรรถกถาธรรมบทกับกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ”,วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖),หน้า ๒๐.
[19] รังษี สุทนต์, “คัมภีร์เรียนภาษาบาลีและผู้รจนา”,อบรมบาลีก่อนสอบ ภาค ๒ : สำนักงานเจ้าคณะภาค ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๔๔), หน้า ๘๓.
[20] พระมหาทรรศน์ คฺณทสฺสี (โพนดวงแก้ว), “การศึกษาเปรียบเทียบพุทธวิธีการสอนในอรรถกถาธรรมบทกับกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ”,วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖),หน้า ๒๐–๒๑.
[21] รังษี สุทนต์, “คัมภีร์เรียนภาษาบาลีและผู้รจนา”,อบรมบาลีก่อนสอบ ภาค ๒ : สำนักงานเจ้าคณะภาค ๒, หน้า ๘๓.