ความรู้ทั่วไป

พระพุทธศาสนาเสื่อมจากอินเดีย

ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๑๕๐๐ ปี พระพุทธศาสนาก็เริ่มเสื่อมลง เนื่องจากพวกนับถือศาสนาพราหมณ์มีอำนาจในอินเดียเบียดเบียนผู้นับถือพระพุทธศาสนา นอกจากนี้เพื่อความอยู่รอด พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก็หันไปนิยมลัทธิอาถรรพ์ทำเลขยนต์คาถาอาคม มุ่งความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเรียกกันว่าไสยศาสตร์ และตรวจชะตา ฤกษ์ยาม เป็นต้น ซึ่งเป็นที่นิยมกันในหมู่ประชาชนชาวอินเดียมาแต่เดิม หรือมีอยู่ในศาสนาพราหมณ์นั้นเอง ซึ่งมุ่งหมายจะแข่งกับพวกศาสนาพราหมณ์ ไม่ถือพระธรรมวินัยเป็นสำคัญ

ทั้งฝ่ายมหายานและหีนยาน ประมาณ พ.ศ. ๑๗๐๐ ผู้นับถือศาสนาอิสลามมีอำนาจลงมาเป็นใหญ่ในอินเดีย พวกอาหรับแผ่อำนาจไปถึงไหนก็รบพุ่งบังคับให้คนนับถือศาสนาอิสลาม และทำลายศาสนาที่เขานับถืออยู่เดิม เช่น พระ วัดวาอาราม ปูชนียสถานอื่น ๆ ในพระพุทธศาสนาก็ถูกทำลาย จนพุทธบริษัทในอินเดียหมดไป เมื่องกองทัพอิสลามไปตามชายทะเล ตั้งแต่อินเดีย จนถึงเขาแหลมมลายู เกาะชวา ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ก็ถูกกำจัดหมดไปด้วย

ศาสนทูตอินเดีย นำศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนาไปต่างประเทศ

เรื่องราวของอดีตที่ชาวอินเดียนำวัฒนธรรมของตนไปเผยแผ่ยังต่างประเทศต่าง ๆ ฐานะที่ผู้อ่านเป็นชาวพุทธมีความรู้ว่า พระพุทธศาสนาที่แผ่เข้ามายังประเทศไทยในสมัยโบราณก่อนที่ชาวไทยจะอพยพลงมานั้น ดินแดนแห่งนี้เรียกว่า สุวรรณภูมิ หรือ แผ่นดินทอง ผู้ที่นำพระพุทธศาสนาเข้ามา คือท่านพระโสณะ กับท่านพระอุตระเถระ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๓๐๐ ปีเศษ ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งโมริยวงศ์ส่งเข้ามา

ว่าตามความเป็นจริงแล้วดินแดนสุวรรณภูมินี้อาจจะได้รับพระพุทธศาสนาก่อนสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชก็ได้ เพราะชาวอินเดียได้เดินทางไปค้าขายยังนานาประเทศมานานแล้ว ชาวอินเดียอาจเดินทางมาค้าขายตั้งแต่สมัยก่อนครั้งพุทธกาลหรือก่อน พ.ศ. ๓๐๐ ปี เป็นแต่ว่าสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังประเทศต่าง ๆ นั้นมีหลักฐานปรากฏหรือจะเรียกว่าเป็นทางราชการ ศาสนาพราหมณ์ก็ดี พระพุทธศาสนาก็ดี ที่เผยแผ่นอกออกประเทศเป็นทางราชการนั้นเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวภายหลัง พ.ศ. ๓๐๐ ปี เท่านั้น ก่อนระยะเวลาดังกล่าว เป็นการเผยแผ่ออกไปแบบชาวบ้านดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรง ทรงพระนิพนธ์ไว้ในตำนานพระพุทธเจดีย์ดังนี้

“ลักษณะที่ชาวอินเดีย พาพระพุทธศาสนาไปเที่ยวสั่งสอนยังนานาประเทศนั้น มีเค้าเงือนปรากฏว่า เพราะการคมนาคมในระหว่างอินเดียกับต่างประเทศมีมาช้านาน บางทีจะมีมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ชาวอินเดียที่ไปค้าขายหรือไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศ ใครนับถือศาสนาใดก็พาศาสนานั้นไปประพฤติ และสั่งสอนชาวประเทศนั้น ๆ ให้ประพฤติตามเป็นทำนองเดียวกันทั้งศาสนาพราหมณ์ และพระพุทธศาสนา

แต่คติศาสนาทั้งสองนั้นผิดกันในข้อสำคัญ ที่ศาสนาพราหมณ์สอนศาสตราอาคม คือศาสตร์และวิชาไสยศาสตร์เกี่ยวข้องไปถึงการปกครองบ้านเมือง ฝ่ายพระพุทธศาสนาสอนแต่ทางธรรมปฏิบัติ หรือถ้าจะว่าอีกอย่างหนึ่ง ศาสนาพราหมณ์ให้ประโยชน์ยิ่งและหย่อนกว่ากันตามชั้นของบุคคล ฝ่ายพระพุทธศาสนาให้ประโยชน์เสมอกัน มิได้เลือกชั้นของบุคคล

เหตุที่ศาสนาทั้งสองไปเจริญรุ่งเรืองในต่างประเทศผิดกัน ประเทศใดที่ชาวอินเดียได้ไปมีอำนาจปกครองเทศนั้น ศาสนาพราหมณ์มักเจริญรุ่งเรือง เช่น ประเทศชวา และประเทศกัมพูชา เป็นต้น ประเทศที่ชาวอินเดียมิได้ปกครองประเทศนั้น พระพุทธศาสนามักรุ่งเรืองเช่นกัน ประเทศจีน ญี่ปุ่น มอญ พม่า ไทย เป็นต้น

คติศาสนาทั้งสองนั้นผิดกันอีกอย่างหนึ่งที่พวกถือศาสนาพราหมณ์ไม่สู้ขวนขวายในการเที่ยวสอนศาสนา เพราะอาศัยอำนาจดังกล่าวมาแล้ว ส่วนพระพุทธศาสนาอาศัยแต่ความเลื่อมใสการเที่ยวสั่งสอนจึงเป็นสำคัญมาแต่ครั้งพุทธกาล เมื่อมาถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชให้เที่ยวสั่งสอนการสอนพระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศ จึงนับถือการในอินเดียว่าเป็นพระเกียรติยศอย่างสำคัญของพระมหากษัตริย์ผู้เป็นพุทธศาสนูปถัมภ์ พระมหากษัตริย์องค์ใด ซึ่งเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้เป็นใหญ่ขึ้นในอินเดีย เช่น พระเจ้ากนิษกะเป็นต้น ก็เอาแบบพระเจ้าอโศกฯ เป็นอย่างให้เที่ยวสั่งสอนพระพุทธศาสนายังนานาประเทศสืบกันมา ก็พวกที่ไปเที่ยวสอนศาสนาย่อมไปตามหนทางคมนาคม ซี่งชาวอินเดียไปมากับประเทศนั้นมาแต่ก่อนเป็นต้น”

แสดงความคิดเห็น
เว็บไซต์พุทธะ
คำว่า “พุทธะ” นอกจากจะหมายถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังหมายถึง การเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน โดยการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย

แสดงความเห็น